นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 459 ร่วมมืออย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามเมื่ออีกฝ่ายได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้แล้วจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะหลีกเลี่ยงโดยการไม่พูดถึงมัน “ฉันได้พิจารณาเงื่อนไขที่คุณสวีเคยเจรจาไว้แล้ว สำหรับสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์นั้นถือว่ามันเป็นผลดีอย่างมาก แต่ฉันอยากถามคุณสวี ว่าทำไมคุณถึงกล้าเชื่อใจฉันมากขนาดนี้? คุณก็รู้ดีว่าฉันและน้องสาวของคุณ…”
หลังจากที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ ซูฉิงก็หยุดพูดไปซะดื้อๆ เธอเชื่อว่าชายผู้นี้เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อเป็นแน่
สวีมู่หยางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มที่มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น “คุณซู ฉันรู้ว่าน้องสาวของฉันเคยทำสิ่งไม่ดีมากมาย เธอพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณและคุณฮ่อ แต่ฉันเลือกที่จะเจรจากับคุณเกี่ยวกับธุรกิจนี้ และมันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับน้องสาวของฉันเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นบริษัทที่เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งมาไม่นาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทของคุณเต็มไปด้วยกลุ่มคนมากความสามารถ รวมทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ก็กำลังได้รับความนิยมและมีการพูดถึงอย่างมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาล้วนเป็นผลงานการผลิตโดยสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์มากกว่าครึ่ง และมันจะมีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไม่เลือกร่วมมือกับคุณ? ”
ซูฉิงพยักหน้าเบาๆ เหตุผลที่สวีมู่หยางให้มานั้นมันสมเหตสมผล และสิ่งที่เขาพูดมันก็มีเหตุผล แม้ว่าตัวเธอจะไม่ถูกกับสวีหว่านเอ๋อร์ แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งตัวเป็นคู่อริกับพี่ชายของสวีหว่านเอ๋อร์ ดังนั้นการมาเจรจาในครั้งนี้จึงเหมือนกับเป็นประตูเปิดทางสู่การทำธุรกิจร่วมกันระหว่างซูฉิงและสวีมู่หยาง
“ในเมื่อคุณสวีพูดอย่างนั้น ถ้าฉันไม่เห็นด้วย มันก็คงเป็นการดูหมิ่นคุณเกินไปใช่หรือไม่?”
สวีมู่หยางหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดที่เริ่มคล้อยตามเขาของอีกฝ่ายก็รู้สึกพออกพอใจ “คุณซู พวกเรามาร่วมมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกันเถอะ คุณว่ายังไง ?”
ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกัน และพวกเขาก็เริ่มลงมือทานอาหารเมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟจนครบ แต่ทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตว่าฮ่อเฉียนอยู่ข้างนอกร้านและเพิ่งมองเห็นภาพที่ทั้งสองคนกำลังลงมือรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข
เธอมองดูภาพนั้นด้วยความโกรธเคือง แต่ดวงตาของเธอกลับฉายแววมีความสุขขึ้นมาครู่นึงเมื่อนึกแผนอะไรออก เดิมทีเธอตั้งใจมาช้อปปิ้งกับเพื่อนๆของเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอจะบังเอิญเห็นซูฉิงและสวีมู่หยางเข้าไปในร้านอาหารหรูชื่อดัง
ซูฉิง ตอนนี้เธอจะยังกล้าพูดว่าการรายงานข่าวของฉันนั้นมันปลอมอีกไหม? เธอมันคงจะเป็นคนจำพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ คราวนี้ล่ะเธอโดนจับได้แน่!
โดยไม่ลังเล ฮ่อเฉียนหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาแล้วกดถ่ายไปยังร่างของซูฉิงที่กำลังนั่งทานอาหารกับสวีมู่หยางอยู่และส่งไปให้ฮ่อหยุนเฉิงทันที
ฮ่อหยุนเฉิงกำลังจะเลิกงาน และในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขาจึงเปิดมันขึ้นมาดู ข้อความที่ถูกส่งมาให้เขานั้นเป็นรูปของซูฉิงและสวีมู่หยางที่กำลังนั่งทานอาหารด้วยกันอยู่ ซึ่งภาพทั้งหมดถูกส่งมาโดยฮ่อเฉียน
เมื่อฮ่อหยุนเฉิงมองไปที่รูปภาพของผู้หญิงบนหน้าจอสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นิ้วมือของเขาบีบเกร็งไปยังโทรศัพท์อย่างรง และในที่สุดเขาก็กดปิดหน้าจอลงและนำโทรศัพท์ใส่ลงในกระเป๋าเสื้อของเขาตามเดิม
หลังจากซูฉิงและสวีมู่หยางทานอาหารกันเสร็จ ซูฉิงก็ยังคงกลับไปที่บริษัทและอยู่เคลียร์งานที่ค้างไว้จนถึง 6 โมงเย็นแล้วจึงเดินทางกลับบ้าน ทันทีที่เธอเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป เธอก็เห็นฮ่อหยุนเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าที่นิ่งขรึม และเมื่อซูฉิงเห็นท่าทีที่แปลกไปอย่างเห็นได้ชัดของฮ่อหยุนเฉิงเธอก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“นายเป็นอะไรไป? ทำไมทำหน้าไม่สบายใจแบบนั้นล่ะ?”
ฮ่อหยุนเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เห็นได้ชัดว่าใบหน้าคมมีแต่ความนิ่งและไม่มีวี่แววของความสุขเผยออกมาให้เธอได้เห็นเลย ชายหนุ่มตรงหน้าเงียบไปสักครู่และเอ่ยถามเธอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและแสนจะเย็นชา “ทำไมเธอถึงต้องไปทานอาหารกับสวีมู่หยางในวันนี้?”
ซูฉิงตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าฮ่อหยุนเฉิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่นั้นมันไม่สำคัญสำหรับเธอ เธอรีบแขวนเสื้อคลุมไว้ที่ไม้แขวนข้างโซฟาแล้วจึงพยายามเอ่ยพูดกับชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้ฉันไปบ้านหลินหนานเพื่อไปเยี่ยมยวี๋น่ามา เมื่อฉันออกมาจากบ้านหลินหนานก็เจอเข้ากับคุณสวีพอดี ที่เขามาหาฉันเพราะเขาอยากเจรจากับฉันเรื่องงานเท่านั้น ฉันก็เลยไปร้านอาหารกับเขาแล้วตกลงคุยกันระหว่างทานอาหาร ว่าแต่นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ซูฉิงพูดอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียดยิบ แต่ฮ่อหยุนเฉิงไม่สามารถทำตัวให้เป็นปกติได้เมื่อได้ยินชื่อของสวีมู่หยาง ความอดทนที่พยายามกักกั้นไว้ค่อยๆขาดสะบั้นลงเมื่อนึกถึงว่าตนเองได้เอ่ยปากเตือนซูฉิงไปนับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
“เธอไม่ต้องมาสนใจหรอกว่าฉันรู้ได้อย่างไร” ซูฉิงค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างฮ่อหยุนเฉิงเมื่อเห็นอารมณ์ที่เริ่มพุ่งขึ้นเรื่อยๆของชายตรงหน้า และฮ่อหยุนเฉิงยังกล่าวต่ออีกว่า “ต่อไปนี้เธอห้ามเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนอีกนอกจากฉัน เธอเข้าใจไหม? เพราะฉันขี้หึงมากๆ”
ซูฉิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอหันศีรษะไปทางอื่นและกลอกตาขึ้น ฮ่อหยุนเฉิงมักจะเป็นแบบนี้เสมอ
เธอพูดไม่ออก พูดไม่ออกจริงๆ
“ฉันบอกแล้วยังไงว่ามันไม่มีอะไร ฉันแค่คุยกับคุณสวีเรื่องงานเท่านั้น นายอย่ามาจำกัดขอบเขตในชีวิตนักเลย”
“เธอบอกว่าฉันจำกัดขอบเขตในชีวิตเธอยังงั้นเหรอ?” ฮ่อหยุนเฉิงหัวเราะขำออกมาด้วยความไม่พอใจกับประโยคนี้ที่ซูฉิงเอ่ยออกมา และหลังจากที่ซูฉิงอธิบายทุกอย่างจนจบเขาก็ทนไม่ไหว ร่างสูงประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากแดงก่ำของเธอ เขายังคงจูบเธอด้วยความร้อนแรงเช่นเคย
ผ่านไปกว่าสิบวินาทีเขาถึงจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ทั้งสองยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ซูฉิงใช้เวลารวบรวมสติอยู่สักพักและจึงพยายามผลักตัวให้หลุดออกจากอ้อมแขนของฮ่อหยุนเฉิง “โอเค หยุดวุ่นวายได้แล้ว… โทรศัพท์กำลังดัง ฉันจะต้องรีบรับสายโทรศัพท์แล้ว”
ทันทีที่ซูฉิงรับสายและกล่าวสวัสดีด้วยน้ำเสียงนุ่ม เสียงของคุณปู่ก็ดังขึ้นผ่านทางโทรศัพท์ ซูฉิงแสดงท่าทางประหลาดใจขึ้นมาเพียงแวบหนึ่งและจึงเอ่ยคุยกับคุณปู่ด้วยเสียงที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “คุณปู่ ทำไมเพิ่งโทรศัพท์มาหาฉันตอนนี้ล่ะ ฉันคิดถึงคุณมาก”
คุณปู่ยิ้มอย่างร่าเริงและพูดว่า “วันนี้ฉันดูทีวีและฉันเห็นข่าวว่าเธอกำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายกับคนในเมือง … พิธีหมั้นของคนใหญ่คนโตอะไรนั้นฉันเห็นมันหมดแล้ว ชายหนุ่มที่เธอกำลังคบหาก็มีหน้าตาที่ดีเหลือเกิน ฉันอาแต่คิดว่าถ้าร่างกายฉันหายดีขึ้นในเร็ววัน และฉันมีเวลาว่างมากพอ ฉันอยากกลับไปร่วมงานหมั้นของเธอ”
“จริงเหรอคะ?” ซูฉิงหัวเราะออกมา น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสุข “แน่นอน ฉันจะไปรับคุณแน่นอนเมื่อคุณมาถึงเมือง A!”
“อีกไม่กี่วันหรอก… ถ้าฉันถึงที่นั่นฉันจะโทรหาเธอทันที”
ซูฉิงยิ้มรับคำอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม และหลังจากที่เธอพูดคุยกับปู่ของเธอต่อสักสองสามประโยค เธอก็วางสายลงและหันศีรษะไปพูดกับฮ่อหยุนเฉิง “คุณปู่โทรมาบอกว่าอีกไม่กี่วันเขาจะมาเมือง A และเข้าร่วมพิธีหมั้นของเรา ดีจัง ฉันไม่ได้เจอเขานานแล้ว”
ฮ่อหยุนเฉิงยิ้มพลางวางมือลงบนไหล่ของซูฉิงแล้วตบเบาๆพร้อมพูดว่า “เอาล่ะ เมื่อปู่ของเธอมาถึงเมือง A ให้เธอรีบบอกฉัน เราสองคนจะไปรับเขาด้วยกัน”
……
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลิวเสี่ยวหนิงก็ได้กำหนดการออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเฉินจุนเหยียนเป็นคนช่วยดูแลเธอในการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล
เมื่อพวกเขากำลังจะเดินออกจากประตูโรงพยาบาล เฉินจุนเหยียนก็ยังคงให้ความช่วยเหลือหลิวเสี่ยวหนิงเป็นอย่างดี หลิวเสี่ยวหนิงก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยความเขินอายที่เฉินจุนเหยียนยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลเธอ “พี่เซิน ฉันสบายดีจริงๆ…”
“เสี่ยวหนิง!”
หลิวเสี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นฉินชั่งเซียวกำลังยืนรอเธออยู่ใต้บันได เขาเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับช่อดอกลิลลี่สีขาวและส่งยิ้มหวานละไมมาให้เธออย่างไม่ได้รู้สึกอึดอัดต่อเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เขาถูกไล่ออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
“ฉันรู้ว่าคุณจะต้องออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ คุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณสบายดีไหม? มา ฉันจะพาคุณกลับบ้าน”
ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น ฉินชั่งเซียวก็พยายามที่จะคว้ามือของหลิวเสี่ยวหนิงมาจับไว้ แต่มือของหลิวเสี่ยวหนิงกลับคว้าแขนเสื้อของเฉินจุนเหยียนไว้อย่างไม่คิดจะปล่อย เห็นได้ชัดหญิงสาวกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เฉินจุนเหยียนขมวดคิ้วขึ้น เขาเปิดเผยท่าทีรังเกียจที่มีต่ออีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมคุณถึงยังกล้ากลับมาที่นี่อีก?”
ฉินชั่งเซียวมองจ้องไปยังเฉินจุนเหยียนด้วยความโกรธ “เดี๋ยวก่อนนะเฉินจุนเหยียน ทำไมคุณถึงยังตามติดเสี่ยวหนิงไม่ปล่อยแบบนี้ ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมารับเสี่ยวหนิงออกจากโรงพยาบาล และก็ยังได้เจอคุณอยู่ที่นี่ด้วย คุณไม่ได้คิดจะเปิดศึกกับฉันใช่ไหม ”
เฉินจุนเหยียนตั้งใจจะตอบกลับชายตรงหน้าไปด้วยความโกรธที่กำลังปะทุอยู่ เขาพยายามดันร่างของหลิวเสี่ยวหนิงให้หลบอยู่ข้างหลัง “ฉันเตือนคุณแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเสี่ยวหนิงและอย่ามายั่วยุคนในบริษัทของเรา ดูเหมือนว่าคุณกำลังฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ใช่ไหม ?”