นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 509 คนสุดฮอต
มิเชลในเวลานี้ไม่สนใจเลยสักนิด หรือจะพูดว่าไม่ได้คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีเลย
ตราบใดที่เธอนึกถึงฮ่อหยุนเฉิง เธอก็ลืมไปหมดทุกอย่าง
“วิธีที่นายบอกมันใช้ได้ผลไหม?” มิเชลเลิกคิ้วขึ้น
บอดี้การ์ดยิ้มอย่างพอใจและพูดอย่างประจบสอพลอว่า “ผมก็เห็นในทีวีครับ แต่ก็ดีกว่าไปห้องทำงานของประธานฮ่อทุกวันนะครับ องค์หญิง…”
มิเชลหน้านิ่งทันที เธอจ้องไปที่เขา และสบถเสียงต่ำ “ไปให้พ้น!”
บอดี้การ์ดคนนั้นชะงัก แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาคอยอยู่ข้างมิเชลมาเสมอ แน่นอนว่าพวกเขารู้นิสัยของเจ้าหญิงคนนี้ ถ้าโกรธขึ้นมาก็จะมืดมนมาก
หลังจากที่บอดี้การ์ดออกไปหมดแล้ว มิเชลก็นั่งอยู่คนเดียวบนเตียง หรี่ตาลง และพิจารณาคำแนะนำของบอดี้การ์ดเมื่อกี้อย่างจริงจัง
[ฮ่อหยุนเฉิง ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะไม่ได้ใจคุณมา!]
…
หลังจากเตรียมการอย่างระมัดระวัง ในที่สุดพิธีเปิด “ฉันเป็นเจ้าของวัยหนุ่มสาวของฉัน” ก็ถูกจัดขึ้น ประกอบทั้งนักแสดงนำทั้งสองได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นในพิธีเปิดครั้งนี้จึงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว
นอกจากผู้สร้างหลักและทีมงานฝ่ายผลิตแล้ว ซูฉิงเองก็มาที่งานด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอให้ความสำคัญอย่างมากกับละครเรื่องนี้ในครั้งนี้
“ฉันรู้สึกขอบคุณผู้กำกับเฉินเป็นอย่างยิ่งที่ตกลงร่วมมือ ฉันตั้งตารอละครเรื่อง “วัยหนุ่มสาว” เรื่องนี้จริงๆ หวังว่าการถ่ายทำจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและสุดท้ายก็สามารถนำเสนองานที่สามารถตอบสนองผู้ชมได้ค่ะ”
คราวนี้ ซูฉิงไม่ได้เป็นเพียงนักลงทุน แต่ยังเป็นผู้ผลิตด้วย แต่เธอเพียงงพูดไม่กี่คำ เพราะสุดท้ายแล้วตัวเอกของวันนี้ก็ไม่ใช่เธอ
เธอและผู้กำกับมองหน้ากันและยิ้ม ก่อนจะส่งไมโครโฟนให้หลิวเสี่ยวหนิงซึ่งอยู่ใกล้เธอมากที่สุด แต่อีกคนกลับตกตะลึงและไม่ได้หยิบไมโครโฟนไปในทันที
ซูฉิงขยับท่าทางเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบสนองทันที เธอใช้ด้านข้างแตะข้อศอกหลิวเสี่ยวหนิงแบบหันหลังให้กล้อง ถึงทำให้หลิวเสี่ยวหนิงสงบลง
หลิวเสี่ยวหนิงรีบหยิบไมโครโฟนขึ้นมา “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เพราะอย่างนั้นฉันเลยรู้สึกประหม่านิดหน่อยค่ะ”
พูดไปเธอก็แสดงท่าทางขอโทษแบบน่ารัก ซึ่งทำให้หลายคนที่อยู่ด้านล่างหัวเราะออกมาดังๆ
“ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำผลงานที่พึงพอใจให้กับผู้ชมและแฟนคลับนะคะ”
หลังจากที่เธอพูดจบก็ยื่นไมโครโฟนให้เฉินจุนเหยียนที่อยู่ด้านข้างพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า แต่ในใจเธอมีความรู้สึกที่ต่างออกไป
ตอนนี้เธอตกตะลึงไม่ใช่เพราะประหม่า แต่เป็นเพราะเฉินจุนเหยียน
ตั้งแต่เริ่ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซูฉิงเพียงคนเดียว เป็นสายตาที่จดจ่อแบบอ่อนโยน
อันที่จริงตอนแรกหลิวเสี่ยวหนิงคิดว่า นิสัยของเฉินจุนเหยียนเป็นแบบนี้ เพราะฉันจึงปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน แต่ในใจเธอรู้ดีว่าความคิดพวกนี้เป็นเพียงเธอที่หลอกลวงตัวเอง
บางทีตอนที่ตัวเองมองเฉินจุนเหยียนอาจจะมีสายตาแบบนี้ก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนนั้น ตอนที่เขาทิ้งตัวเองอยู่บนถนนคนเดียว เธอกลับไปยังคิดว่าตัวเองจะเกลียดเฉินจุนเหยียนไหม หรือจะไม่พอใจไหม
ตอนนี้เธอรู้สึกไม่ชัดเจนแล้ว
แม้แต่หลิวเสี่ยวหนิงในตอนนี้ยังมีความคิดที่จะหนีไปจากพิธีเปิด
ในขณะที่หลิวเสี่ยวหนิงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ทุกคนก็พูดจบ และพิธีเปิดก็สิ้นสุดลง
ต่อมาได้มีการแทรกบทสัมภาษณ์ชั่วคราว ทุกคนก้าวลงจากเวที แต่หลิวเสี่ยวหนิงกลับไม่คิดว่าจะได้เห็นคนรู้จักท่ามกลางสื่อ
เห็นจินจิ่นหรานถือดอกกุหลาบสีสดใสและยื่นให้กับเธอ
“ฉัน?”
หลิวเสี่ยวหนิงชี้เข้าหาตัวเองด้วยความสับสน แม้ว่าตระกูลของจินจิ่นหรานเองก็เป็นนักลงทุน แต่เหมือนว่าไม่มีพิธีเปิดไหนที่นักลงทุนจะนำดอกไม้มาเป็นการส่วนตัว
ดวงตาของจินจิ่นหรานขยับเล็กน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคน เขายืนนิ่งอยู่ต่อหน้าหลิวเสี่ยวหนิงและพูดอะไรบางอย่างที่น่าตกใจ:
“หลิวเสี่ยวหนิง ผมชอบคุณ เป็นแฟนผมได้ไหมครับ?”
ทันใดนั้นสื่อก็โกลาหล และเริ่มใช้กล้องเพื่อโฟกัสที่และจินจิ่นหรานและหลิวเสี่ยวหนิงกันอย่างบ้าคลั่ง
เพราะยังไงในพิธีเปิดก็เป็นครั้งแรกที่สารภาพต่อหน้าสื่อมากมาย
หลิวเสี่ยวหนิงปิดปากด้วยความตกใจและมองไปที่จินจิ่นหรานอย่างตะลึง
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“อันที่จริงผมอยากพูดเรื่องนี้กับคุณมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส เพราะงั้นวันนี้ผมเลยไม่อยากพลาดอีก”
จินจิ่นหรานเงยมองปฏิกิริยาของหลิวเสี่ยวหนิง พร้อมพูดอย่างช้าและอ่อนโยน
แต่มองสีหน้าเขาที่นิ่งไม่ได้ ต้องมองที่ข้อนิ้วที่ถือช่อดอกไม้นั้นเป็นสีขาวจางๆ
หลิวเสี่ยวหนิงที่เริ่มมีปฏิกิริยา กัดริมฝีปากล่างของเธอเบา ๆ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจินจิ่นหรานจะชอบเธอ
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน และตัวเธอก็ถือว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา
พอมานึกถึง หลิวเสี่ยวหนิงก็รู้สึกน่าตลกเล็กน้อย
ในเวลานั้นสำหรับเฉินจุนเหยียนแล้ว เธอเองก็เหมือนกันไหม?
หลิวเสี่ยวหนิงใช้โอกาสในการกวาดสายตาหันไปมองทางเฉินจุนเหยียน เขาไม่ตอบสนองอะไร แม้แต่สายตาของเขาก็ยังจับจ้องไปที่ซูฉิงด้านนอกพวกสื่อ
ราวกับว่าหน้าอกถูกบางอย่างปิดกั้น หลิวเสี่ยวหนิงหันกลับและยกยิ้มสดใสไปทางจินจิ่นหราน
หลังจากนั้นเธอก็เอื้อมมือออกไปกอดจินจิ่นหราน และฝังหัวของเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
หลิวเสี่ยวหนิงได้ยินเสียงชัตเตอร์และเสียงอุทานดังมากจนเธอเพิกเฉยต่อการเต้นของหัวใจที่วุ่นวายใกล้กับใบหูของเธอ
ซูฉิงไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ ความรู้สึกตอนนี้ของเหตุการณ์นี้อาจจะบดบังความนิยมของละครทีวีไป
ในขณะนั้นซูฉิงก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย หลิวเสี่ยวหนิงคนนี้ถือว่าคนสุดฮอตได้ไหมนะ? สิ่งที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดถูกจับไปอยู่กับเธอ
เพราะยังไงเรื่องที่นักแสดงเผยความรักต่อหน้าสาธารณะนั้น จะบอกว่าไม่มีผลกระทบเลยก็เป็นไปไม่ได้
“ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?” ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงกล่าวอย่างกังวล
ซูฉิงมองไปที่ใบหน้าของหลิวเสี่ยวหนิง และไม่พูดอะไร
ในอีกด้านหนึ่ง หลิวเสี่ยวหนิงและจินจิ่นหรานซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยคำถามจากสื่อก็ไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่น
“ไม่ทราบว่าคุณหลิว คุณกับคุณจินรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? คบกันก่อนหน้านี้แล้วมาเปิดเผยความสัมพันธ์ในวันนี้เหรอคะ?”
“คุณหลิว ก่อนหน้านี้มีข่าวลือทางอินเทอร์เน็ตว่าคุณกำลังคบกับเฉินจุนเหยียน แต่ดูเหมือนคุณในตอนนั้นจะไม่ได้โต้ตอบในทันที?”
“บอกได้ไหมตะว่ามาคบกันได้ยังไง?”
คำถามจากสื่อต่างๆ ตามมาทีละคำถาม และถึงแม้หลิวเสี่ยวหนิงจะตอบก็ยังมีปัญหาเล็กน้อย จินจิ่นหรานที่อยู่ข้างๆ เห็นก็เอาตัวบังหลิวเสี่ยวหนิงไว้ด้านหลัง ก่อนตัวเองจะเป็นคนตอบคำถามของนักข่าวด้วยตัวเอง
“อันที่จริงผมเป็นแฟนคลับของเสี่ยวหนิงครับ ผมตามจีบเธอตั้งแต่ได้พบ แต่ผมค่อนข้างไม่รู้ความและไม่รู้วิธีเอาใจผู้หญิง แต่ผมไม่นึกเลยว่าเสี่ยวหนิงจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม…”
จินจิ่นหรานตอบคำถามทีละข้ออย่างใจเย็น และคำตอบของเขานั้นก็ฉลาดมาก เกือบจะหลีกเลี่ยงที่เกี่ยวกับหลิวเสี่ยวหนิงได้หมด และปกป้องความเป็นส่วนตัวของเธอได้เป็นอย่างดี