นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 511 ความพอดีเป็นบ่อเกิดของความสุข
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ซูฉิงมองไปยังเฉินจุนเหยียนพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีเรื่องพิเศษอะไรหรอก อีกสักพักคุณจะกลับไปที่บริษัทใช่ไหม? ผมก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน ผมสามารถแวะไปส่งคุณได้” เฉินจุนเหยียนเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก พอดีวันนี้ฉันขับรถมา” ซูฉิงส่ายหัวปฏิเสธคำชวน เมื่อเฉินจุนเหยียนได้ยินดังนั้นจึงหันสายตาคมไปจ้องหลิวเสี่ยวหนิง
“วันนี้ดีใจกับคุณด้วยนะ” เฉินจุนเหยียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ในตอนนี้เขาคิดว่าตนเองคงสามารถเริ่มความสัมพันธ์ที่ดีกับหลิวเสี่ยวหนิงได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเฉินจุนเหยียนคิดมากไปเองหรือเปล่า เพราะเขารู้สึกว่าหลิวเสี่ยวหนิงมีอะไรบางอย่างที่ปกปิดเขาไว้
ทางด้านหลิวเสี่ยวหนิงก็ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจตอบกลับมาด้วยเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วภายในใจของหญิงสาวนั้นกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เพราะตัวหลิวเสี่ยวหนิงเองนั้นไม่ได้อยากได้ยินคำพูดและการกระทำแบบนี้จากอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“อีกสักพักเขาก็จะมารับฉันแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” หลิวเสี่ยวหนิงกำโทรศัพท์ในมือแน่นและรีบก้าวเท้าเร็วๆเดินออกไปทันที
หลิวเสี่ยวหนิงค่อนข้างรู้สึกอับอายที่เธอหาทางหนีเอาตัวรอดออกมาแบบนั้น มื่อเดินพ้นออกมาจากสายตาของคนทั้งสอง เธอพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆและตั้งสติ
เมื่อสักครู่เธอกลับมีความคิดวูบหนึ่งที่อยากจะดึงเฉินจุนเหยียนไว้และถามคำถามที่เธอสงสัยทั้งหมดออกไป
แต่พอได้กลับมาคิดทบทวนตัวเองดู เธอก็พบว่าตัวเองจะเอ่ยถามเขาทำไมและเธอมีสิทธิ์อะไรไปถามเขา?
หลิวเสี่ยวหนิงทอดสายตามองออกไปและพบเข้ากับร่างของจินจิ่นหรานที่มายืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มพยักหน้าให้เธอเบาๆและเอื้อมมือมาดึงรั้งร่างของหลิวเสี่ยวหนิงเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของตนเอง
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง?”
ร่างทั้งร่างของหลิวเสี่ยวหนิงแข็งทื่อราวกับหิน เธออยากจะเอื้อมมือออกไปผลักช่วงเอวของจินจิ่นหรานให้ออกห่าง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้ทำมัน
“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย” หลิวเสี่ยวหนิงพูดพลางส่ายศีรษะและพยายามดันตัวเองออกมาจากอ้อมอกของจินจิ่นหราน
“หิวหรือยัง? ฉันจะพาคุณไปทานข้าวดีไหม?” จินจิ่นหรานคว้าหมับไปที่มือของหลิวเสี่ยวหนิงและนำพาหญิงสาวเดินขึ้นรถยนต์คันหรูไป
จินจิ่นหรานยื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาให้หลิวเสี่ยวหนิง หญิงสาวเองก็ต้องจำใจรับไว้อย่างเสียมิได้ “คุณให้ดอกไม้ฉันเยอะเกินไปแล้วนะ ฉันไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว”
“ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะชอบให้แฟนซื้อของเล็กๆน้อยๆให้ไม่ใช่หรอกเหรอ?” จินจิ่นหรานจ้องมองไปยังหลิวเสี่ยวหนิง
“แฟนคนก่อนๆของคุณคงชอบของพวกนี้กันหมดสินะ” หลิวเสี่ยวหนิงจับช่อดอกไม้อย่างเบามือและพูดโพล่งประโยคไม่ควรพูดออกมา
“ฉันไม่มี” จินจิ่นหรานตอบกลับหญิงสาวอย่างไม่มีท่าทีลังเล
หลิวเสี่ยวหนิงนิ่งงันไปในทันที เมื่อได้ยินคำตอบที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างของจินจิ่นหราน
“ฉันไม่เคยมีแฟนและไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน คุณคือผู้หญิงคนแรก…” จินจิ่นหรายเปรยสายตาอ่อนโยนไปยังหลิวเสี่ยวหนิง
“เรื่องพวกนี้ฉันล้วนค้นหามาจากอินเทอร์เน็ต คุณคิดว่าฉันโง่ไหม?”
มือบางกำช่อดอกไม้ในมือแน่น หลิวเสี่ยวหนิงเหลือบสายตามามองอีกฝ่ายพลางกัดเม้มริมฝีปากบาง
ด้วยความอับแสงในรถยนต์ทำให้ความมืดครึ้มปกปิดใบหน้าและความรู้สึกของทั้งสองคนไว้
แววตาของจินจิ่นหรานหม่นลงเล็กน้อยและมือหนาก็พยายามบังคับพวงมาลัยรถยนต์ต่อไปโดยแสร้งไม่สนใจสิ่งใด ในขณะนั้นหลิวเสี่ยวหนิงจึงเอ่ยปากพูดออกมา “ฉันหิวแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ คุณคงจะเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วใช่ไหมล่ะ”
“อืม” จินจิ่นหรานตอบรับเสียงเบาและขับเคลื่อนรถยนต์ไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง
หลิวเสี่ยวหนิงเอนตัวลงกับเบาะข้างคนขับและกอดช่อดอกไม้ไว้แนบอก แววตาคมสวยลอบมองไปยังทัศนียภาพนอกรถที่กำลังเคลื่อนผ่าน
เมื่อรถยนต์จอดนิ่งรอไฟจราจร จินจิ่นหรานก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ขอโทษ”
“เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไร?” หลิวเสี่ยวหนิงได้สติขึ้นมาและไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เมื่อได้ยินชายข้างๆเอ่ยปากกล่าวขอโทษ
“วันนี้ฉันบุ่มบ่ามมากเกินไปที่สารภาพรักกับคุณต่อหน้าสื่อมวลชนต่างๆมากมาย คงจะทำให้คุณลำบากใจไม่น้อยเลยใช่ไหม”
ที่จริงแล้วจินจิ่นหรานก็ติดตามข่าวต่างๆในอินเทอร์เน็ตอยู่และเมื่อเขายิ่งเห็นท่าทีของหลิวเสี่ยวหนิง เขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังสร้างความลำบากใจให้กับหญิงสาว
เขารู้สึกว่าหลังจากที่เขาได้ล้วงล้ำเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอมันก็ยิ่งแย่ขึ้น
ความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันกำลังคืบคลานเข้ามาในความสัมพันธ์ของทั้งเขาและเธอ
“แค่เพราะเรื่องเรื่องนี้เหรอ?” หลิวเสี่ยวหนิงยกริมฝีปากขึ้น
“คุณกำลังอารมณ์ไม่ดี” จินจิ่นหรานพยายามค่อยๆสังเกตอารมณ์ของหลิวเสี่ยวหนิง
แต่เพราะเขาค่อนข้างอ่อนหัดในเรื่องของความรัก ถ้าจะให้เขาทำตามคำแนะนำจากโลกอินเทอร์เน็ตคงจะไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่
หลิวเสี่ยวหนิงพยักหน้าตอบรับคำพูดของชายข้างกายและพูดต่อ “ฉันยอมรับว่าฉันอารมณ์ไม่ดี แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย ฉันเครียดกับเรื่องบทละครเรื่องใหม่”
หญิงสาวพยายามปรับอารมณ์ของตนเองให้ดูผ่อนคลายมากขึ้นและตอบกลับอีกฝ่ายเสียงเบา “เพราะฉันเรียนจบมาหลายปีแล้ว และรู้สึกว่าตนเองห่างหายจากช่วงวัยรุ่นมาพอสมควร ตอนนี้จะต้องกลับไปเล่นบทบาทช่วงวัยเรียนก็รู้สึกว่าค่อนข้างยาก”
เมื่อบรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ผ่อนคลายลงกว่าในตอนแรกค่อนข้างมาก ชายหนุ่มหญิงสาวก็เอ่ยพูดขึ้นเรื่องจิปาถะกันมาเรื่อยๆจนถึงที่หมาย
“ที่นี่คือบ้านของคุณ?” หลิวเสี่ยวหนิงมองตรงไปยังวิลล่าหลังใหญ่ที่รู้สึกค่อนข้างคุ้นตา
“ใช่ ที่นี่คือที่ที่เราสองคนเจอกันครั้งแรก”
จินจิ่นหรานจับกุมมือของหลิวเสี่ยวหนิงและพาเธอเดินตรงไปยังวิลล่าหลังใหญ่ “ฉันคิดอยู่นานมากว่าจะพาคุณไปร้านอาหารไหนดี แต่สุดท้ายก็คิดไม่ออก ฉันก็เลยจัดเตรียมทุกอย่างไว้ที่บ้าน”
และเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นจึงทำให้จินจิ่นหรานกลัวว่าแผนการจัดเตรียมของเขาจะล่ม
หลิวเสี่ยวหนิงก้าวเท้าตามจินจิ่นหรานเข้าไปในตัววิลล่า สายตาสวยทอดยาวไปเห็นโต๊ะกว้างที่ประดับประดาไปด้วยแสงเทียนและอาหารมื้อค่ำ
จากการสังเกตโดยรวมก็พบว่าจินจิ่นหรานมีความตั้งใจอย่างมากกับการจัดเตรียมมื้ออาหารค่ำในวันนี้
หลิวเสี่ยวหนิงนั่งลงบนเก้าอี้และเหลือบมองเปลวเทียนที่กำลังปลิวไสวอยู่ข้างกาย
“วันนี้คุณคงเห็นดอกกุหลาบมาเยอะมากแล้วใช่ไหม” จินจิ่นหรานยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นหลิวเสี่ยวหนิงจับจ้องรอบกายด้วยแววตาสดใส
“ไม่เยอะมากไปหรอก ฉันชอบมาก” หลิวเสี่ยวหนิงมองไปยังจินจิ่นหรานและส่ายศีรษะพลางพูดปฎิเสธคนตรงหน้าที่กำลังเผยความอบอุ่นอ่อนโยนมายังเธออย่างเต็มที่
ชายหนุ่มหญิงสาวจ้องประสานตากัน โดยไม่มีทีท่าว่าจะมีใครสักคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
ดอกกุหลาบส่งกลิ่นหอมย้ำยวนขึ้นมาราวกับกำลังจะโอบล้อมคนสองคนไว้ในดินแดนที่มีเพียงสองเรา หลิวเสี่ยวหนิงมองตรงไปยังใบหน้าของจินจิ่นหรานที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ แท้จริงแล้วหญิงสาวอยากจะเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่รู้ว่าทำไมในตอนนี้ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อไปซะดื้อๆ
รอยจูบที่บางเบาราวกับขนนกประทับลงอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังรอดูท่าทีและการตอบรับของหลิวเสี่ยวหนิง
หลิวเสี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้น เธอไม่ได้ปฎิเสธและไม่มีท่าทีต่อต้านใดๆ หญิงสาวปิดเปลือกตาลงและปล่อยสมองให้ขาวโพลน
และในขณะนั้นเองภาพของคนคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิดของเธอ
มือบางจิกแน่นลงบนเก้าอี้ ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกปวดหัวแปรบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
……
ในอีกด้านหนึ่งซูฉิงนั้นเพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากที่ยุ่งกับการทำงานมาเกือบทั้งวัน แต่เธอก็ยังไม่ได้ละทิ้งการทำงานแต่อย่างใด เมื่อถึงบ้านหญิงสาวก็ยังคงเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาและเข้าสำรวจข่าวในอินเทอร์เน็ตที่ล้วนเต็มไปด้วยข่าวของหลิวเสี่ยวหนิงเกือบทั้งนั้น
ข่าวเกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆล้วนทำให้ข่าวสารแพร่สะพัดไปไกลเป็นอย่างมาก ซูฉิงไล่อ่านแต่ละข่าวจนตาลายไปหมด
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฮ่อหยุนเฉินเดินเข้ามาใกล้และมองเห็นท่าทางเคร่งขรึมของซูฉิง เขาจูบลงบนขมับเธอเบาๆและเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย
“นักแสดงในสังกัดของฉัน หลิวเสี่ยวหนิงนายก็น่าจะรู้จักใช่ไหม วันนี้เธอประกาศเรื่องความรักต่อหน้าสื่อมวลชนทุกสำนัก” ซูฉิงเอ่ยพลางซุกหัวอิงไปในอ้อมอกของชายอันเป็นที่รัก
ถึงแม้ว่าฮ่อหยุนเฉิงจะพอนึกออกว่าหลิวเสี่ยวหนิงคือใคร แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักและสนิทสนมกับหญิงสาวมากสักเท่าไหร่ และเมื่อชายหนุ่มเห็นว่าซูฉิงมีอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาก็ค่อยๆนวดไหล่ให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา
ซูฉิงได้ติดต่อไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้พวกเขาโพสต์ข้อความลงบนเว็บเพจ โดยเนื้อหาของข้อความก็คือการให้พื้นที่ชีวิตส่วนตัวกับหลิวเสี่ยวหนิง ไม่อยากให้ทุกคนสนใจกับเรื่องความรักใคร่ของนักแสดงสาวไปมากกว่าผลงานของเธอ
ในตอนนี้ซูฉิงก็เบื่อที่จะติดตามผลตอบรับจากโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว เธอพลิกตัวกลับไปฝังตัวไว้ในอ้อมอกของฮ่อหยุนเฉิง ใบหน้าสวยแนบชิดไปกับคางของอีกฝ่ายพลางขยับไปมาเบาๆด้วยท่าทางราวกับลูกแมวอ้อน
ฮ่อหยุนเฉิงเองก็กำลังตั้งใจกับการนวดให้หญิงสาวอยู่ เขาอยากให้หญิงสาวผ่อนคลายลงบ้างจากการทำงานที่เหนื่อยล้า
ซูฉิงทำเสียงง้องอนออกมาพลางเงยหน้าขึ้นไปจูบลงบนปลายคางของฝ่ายชาย “ฉันให้รางวัลนาย!”
“หืม?” คิ้วของฮ่อหยุนเฉิงเลิกขึ้นราวกับไม่ชอบใจเท่าไหร่ในรางวัลที่หญิงสาวมอบให้
“ความพอดีเป็นบ่อเกิดของความสุข”ซูฉิงหันกลับไปและลุกขึ้น ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินจากไปฮ่อหยุนเฉิงก็ดึงรั้งเอวบางให้กลับมาแนบชิด
ซูฉิงส่งเสียงร้องออกมาเพียงเล็กน้อยและถูกฝ่ายชายจูบอยู่นานจนกว่าจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ