นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 588 มีบางอย่างผิดแปลกไป
และซูฉิงคิดว่าเรื่องนี้เหมือนตั้งใจจะจ้องเล่นงานหลิวเสี่ยวหนิงเท่านั้น
แต่ทว่าตอนนี้เรื่องสำคัญจะต้องให้ความกับสื่อภายนอกเป็นสำคัญ
ทันใดนั้น ซูฉิงก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ฮ่อ ตอนที่สวีหว่านเอ่อร์ถูกนำตัวไปนั้นเธอยิ้มแปลกๆ
ซูฉิงที่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบต่อสายโทรหาฮ่อหยุนเฉิง แต่ไม่รู้ว่าทางฝ่ายของฮ่อหยุนเฉิงกำลังยุ่งอะไรอยู่ถึงไม่รับสาย
และเวลานี้เองหลิวเสี่ยวหนิงกับผู้จัดการก็ได้กลับมาที่บริษัท แล้วรีบเดินเข้าไปมาในห้องทำงานของซูฉิง
“ประธานซู “ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงทำหน้าเครียด เธอยื่นมือไปฉุดแขนของหลิวเสี่ยวหนิงให้เธอเดินขึ้นมาข้างหน้า
อาการของหลิวเสี่ยวหนิงไม่สู้ดี เธอสวมหมวกแก๊ปสีดำ สีหน้าอารมณ์ของเธอล้วนถูกหมวดบดบังเอาไว้
ซูฉิงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วพูดเสียงเบา”นั่งลงก่อน เรื่องงานแถลงข่าวฉันจะให้คนรีบจัดการ วางใจเถอะ จะไม่มีปัญหาแน่นอน”
ผู้จัดการเห็นอย่างนั้นก็รีบพูด:”ประธานซูคะ ฉันรู้สักว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ งานแถลงข่าวทำไมถึงได้ปล่อยให้คนอย่างนั้นเข้ามาได้”
จริงๆแล้วผู้จัดการได้ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปีแล้ว ผ่านปัญหาเรื่องวุ่ยวายมามาก แม้แต่เรื่องงานแถลงข่าวในวันนี้ก็เคยเจอมาแล้ว
เพียงแต่ว่าเรื่องของวันนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อน บริษัทสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์ที่ให้การสนับสนุนหลิวเสี่ยวหนิง บริษัทสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์อยู่ในวงการบันเทิงทั้งยังเป็นแถวหน้าของวงการบันเทิง คนที่คอยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
เรื่องนี้ซูฉิงรู้อยู่แก่ใจดี เลยแฉะยิ้มออกมา
ทว่าทันใดนั้นเอง หลิวเสี่ยวหนิงก็ยกมือถอดหมวกแก๊ปออกมองหน้าซูฉิงด้วยสีหน้าท้อแท้ :”พี่เสี่ยวฉิง ฉันอยากจะออกจากวงการ”
พอคำพูดนี้พูดออกไป ไม่เพียงแต่ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงเท่านั้น แม้แต่ซูฉิงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เสี่ยวหนิง เธอพูดอะไรน่ะ “ผู้จัดการมองหน้าหลิวเสี่ยวหนิงอย่างเหลือเชื่อ คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าเธอจะพูดอย่างนี้ออกมาได้
ตอนที่มาถึงนึกว่าหลิวเสี่ยวหนิงอารมณ์ยังไม่ดีเลยเอาแต่เงียบ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะกำลังคิดเรื่องนี้อยู่
“ฉันคิดมานานแล้ว ฉันอยากจะออกจากวงการจริงๆ ฉันคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับฉัน”
หลิวเสี่ยวหนิงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับมองหน้าซูฉิงด้วยสีหน้าเศร้างอย่างที่ซูฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน หลิวเสี่ยวหนิงที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรมักจะทำตัวร่าเริง แต่เรื่องของวันนี้ก็ทำให้เธอยอมแพ้แล้วหรอ”
“เสี่ยวหนิง ทำไมเธอถึงคิดอย่างนี้”ซูฉิงถามอย่างจริงจัง
เธอคิดว่าหลิวเสี่ยวหนิงเป็นนักแสดงที่ดีมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าซูฉิงไม่อยากจะเสียเธอไป
“ที่จริงแล้วสมัยก่อนตอนที่ยังไม่รู้ความ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ขอแค่ทำงานถ่ายละครทุกวันก็พอแล้ว”
หลิวเสี่ยวหนิงหยุดเว้นคำพูด พอพูดมาถึงตอนนี้เธอก็หัวเราะเยาะออกมา
“แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนทั้งหมดจะเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
มีแต่คนชอบให้คนสนใจ ชอบที่จะมีชื่อเสียง แต่หลิวเสี่ยวหนิงกลับคิดว่าตนในตอนนี้ไม่เหมาะสมกับสิ่งเหล่านี้
“ฉันมีแต่นำเอาปัญหามาให้ ครั้งที่แล้วบริษัทก็ต้องมาเหนื่อยกับการปิดข่าวของฉันให้เงียบลง ฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของฉัน”
หลิวเสี่ยวหนิงถอนหายใจออกมาแล้วพูดเสียงเบา
“ดังนั้นนี่เลยคือเหตุผลที่เธอจะออกจากวงการใช่มั้ย”ซูฉิงเปิดเอกสารที่อยู่ในมืออยู่ก็มองหน้าหลิวเสี่ยวหนิงด้วยสายตานิ่งขรึม
“พูดความจริงมาสิว่า เธอไม่ชอบเป็นนักแสดงหรอ”
หลิวเสี่ยวหนิงเม้มปาก นิ่งอยู่นาน ถึงได้แฉะยิ้มเศร้าออกมาตรงมุมปาก
“ชอบสิ ฉันชอบการแสดง และการแสดงคือความฝันของฉัน แต่ฉันพบว่า ฉันไม่เหมาะสมกับความฝันที่เป็นจริงนี้เลย”
หลิวเสี่ยวหนิงคิดว่าเธอนั้นอ่อนแอเกินไป รับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก่อนเธอมักจะไปเปิดด่าคอมเมนท์ที่ด่าเธอ ไปดูหน้าเพจที่แอนตี้เธอว่าพวกเขาทำไมถึงไม่ชอบเธอ
เพียงเพราะอ่านคอมเมนท์ด่ามาเยอะแล้ว หลิวเสี่ยวหนิงก็ยังรู้สึกชินทั้งยังรู้สึกแย่กว่าเดิม จนเมื่อก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งเธอแทบรับไม่ไหวอาการแย่มาก
หลิวเสี่ยหนิงก็จะเข้าไปอ่านคอมเมนท์ของแฟนคลับ ดูพวกแฟนคลับที่คอมเมนท์ให้กำลังใจเธอ แต่สุดท้ายแล้วหลิวเสี่ยวหนิงก็คิดว่าตัวเองทำให้พวกเขาผิดหวัง
“พี่เสี่ยวฉิง บริษัททำเพื่อฉันมามากแล้ว แต่ฉันกลับเอาแต่นำปัญหามาให้กับบริษัท”
“เสี่ยวหนิงเธอหยุดพูดได้แล้ว “ผู้จัดการคิ้วขมวดพูด
แต่วินาทีต่อมา ซูฉิงกลับเงยหน้าพูดเสียงเบาราวกับปุยเมฆ:”ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันคิดว่าเธอกลับไปสงบสติอารมณ์สักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
“คิดไตร่ตรองถึงคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ คิดว่าอยากจะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปไหม แต่ว่าตอนนี้เธอยังเป็นนักแสดงในสังกัดของบริษัทของฉัน เรื่องของเธอฉันจะต้องจัดการให้แน่นอน”
ซูฉิที่ทั้งพูดทั้งยืนขึ้นแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าหลิวเสี่ยวหนิง:”หลิวเสี่ยวหนิง ไม่มีเรื่องอะไรที่จะราบรื่นไปซธะทุกอย่างหรอกนะ”
หลิวเสี่ยวหนิงที่เม้มปากอยู่หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นขอบตาก็แดงก่ำ เธอเข้าไปกอดซูฉิงแล้วเริ่มร้องไห้เจ็บปวด
ซูฉิงลูบผมของหลิวเสี่ยวหนิงพร้อมกับคิดไตร่ตรอง เด็กคนนี้เข้ามาในวงการไม่นานก็ได้เจอกับเรื่องที่บางคนอาจจะไม่ได้เจอตลอดชีวิต คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ผู้จัดการที่ทองอยู่ข้างๆ ตอนแรกจะพาหลิวเสี่ยหนิงกลับ แต่ซูฉิงกลับมองเธอพร้อมกับส่ายหน้า ปล่อยให้หลิวเสี่ยวหนิงกอดเธอร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ผ่านไปสักพัก หลิวเสี่ยวหนิงถึงได้หยุดร้อง
“สองวันนี้เธอก็หยุดพักผ่อนนะ คิดให้ดีแล้วกลับมาคุยกับฉัน เข้าใจมั้ย”
ซูฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลิวเสี่ยวหนิงได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งสืบจมูกสะอื้นพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ :”พี่เสี่ยวฉิง ทำไมพี่ถึงดีอย่างนี้”
“รู้ว่าฉันดี งั้นเธอก็เชื่อฟังฉันนะ”
หลิวเสี่ยวหนิงได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ซูฉิงพูดสั่งกำชับอีกไม่กี่ประโยค ก็ให้ผู้จัดการพาเธอกลับไป
และเวลานี้อีกโทรศัพท์ของซูฉิงก็ดังขึ้น และก็เป็นฮ่อหยุนเฉิงที่โทรกลับมา
“ฮัลโหล หยุนเฉิงหรอ”ซูฉิงกดรับสาย
“ขอโทษด้วยนะ เมื่อกี้ประชุมอยู่”
ฮ่อหยุนเฉิงที่อยู่ปลายพูดมาอย่างนี้ ก็ทำให้ซูฉิงนึกถึงเรื่องที่เขามีประชุมสำคัญในวันนี้
“มีอะไรหรอ”ฮ่อหยุนเฉิงเอ่ยถาม
“งานเลี้ยงวันเกิดคุณปู่ฮ่อก่อนหน้านี้ทำให้นายจับตัวสวีหว่านเอ๋อร์ไป ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน “ซูฉิงเอ่ยถาม
“สวีหว่านเอ๋อร์งั้นหรอ”ฮ่อหยุนเฉิงถามเสียงขรึม แล้วถามต่อ”คืนวันนั้นฉันให้คนพาตัวสวีหว่านเอ๋อร์กลับไปส่งที่บ้านตระกูลสวี”
ส่วนที่เหลือ ฮ่อหยุนเฉิงก็ไม่ได้ถามตระกูลสวีว่าเป็นยังไง เพียงแต่ว่าได้ยินจากคุณปู่เล่าว่าตระกูลสวีจะส่งสวีหว่านเอ๋อร์ไปต่างประเทศ
เพราะในงานเลี้ยงของคืนนั้นสวีหว่านเอ๋อร์ได้ก่อนเรื่องใหญ่โต ทำให้คนรอบข้างหัวเราะเยาะ
จะมีครอบครัวไหนบ้างจะไม่สนใจหน้าตา และยิ่งตระกูลสวีที่เป็นตระกูลผู้ดี