“จริงสิ เวินเอ้าไห่ไปไหนล่ะ”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
รุ่ยม่านชิงอึ้งไป จากนั้นในใจก็พลันสั่นไหว เทพมารหลินผู้นี้กังวลว่าศิษย์พี่เวินอ้าวหมิ่งจะรีบกลับมาหรือ
เห็นทีเขาก็ไม่ได้ไม่กลัวอะไรเลย!
คิดถึงตรงนี้รุ่ยม่านหรงสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “สองวันก่อนศิษย์พี่เวินได้ไปยังที่ที่ ‘ศิลาศึกอัคคีทักษิณ’ ตั้งอยู่ จะเข้าทะลวงการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้า!”
ศิลาศึกอัคคีทักษิณ!
หลินสวินเคยได้ยินเจ้าคางคกพูดว่า ในแต่ละแดนของแดนเก้าบนล้วนมีศิลาศึกเช่นนี้อยู่
มีเพียงเข้าทดสอบหน้าศิลาศึก ถึงมีคุณสมบัติพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า
“ระดับมกุฎราชันก็สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าด้วยหรือ” หลินสวินถามอย่างประหลาดใจ
ในความเข้าใจของเขาก่อนหน้านี้ มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ ถึงมีคุณสมบัติไปแข่งขันและพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า
เมื่อได้ยินคำถามของหลินสวิน ในดวงตารุ่ยม่านหรงก็ฉายแววดูถูกอย่างยากสังเกตเห็น เทพมารหลินผู้นี้แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เสียอย่างนั้น
ทว่าที่น่าเศร้าก็ตรงนี้ ต่อให้ใจนางดูแคลน แต่ติดที่อำนาจกดขี่ของหลินสวิน นางจึงไม่อาจไม่ตอบ
“ก่อนแดนมกุฎคราวนี้จะมาถึง กระดานทองคำผู้กล้าปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในยุคบรรพกาลเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่เคยมีระดับมกุฎราชันเลยสักคน”
“ดังนั้นผู้แข็งแกร่งที่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า จึงมีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎในระดับกระบวนแปรจุติ”
“แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เป็นมหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แดนมกุฎก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุนี้”
“ในตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายตัวอยู่ในแดนเก้าบนต่างรู้ดีว่า หากต้องการพาตัวเองขึ้นสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ต้องมีพลังที่แท้จริงของระดับมกุฎราชัน”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของรุ่ยม่านหรง หลินสวินถึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนนี้
ไม่นานนักรุ่ยม่านหรงก็จากไป หลินสวินเริ่มฝึกตน
ในช่วงหนึ่งวันหนึ่งคือที่เสี่ยงภัยอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่น ทำให้เขาใช้พลังไปมากมายนัก พิษร้ายของยุงโลหิตหกปีกที่อยู่บนตัวยังไม่สลายไป
ฟู่!
หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนศิลาต้นกำเนิดสีทองอ่อนนั้น ชั่วพริบตาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าไอวิญญาณที่ไพศาลและบริสุทธิ์พุ่งเข้ามาในร่างกายของตนราวธารน้ำสายยาว
ไม่ต้องดูดซับอย่างยากลำบากก็สามารถหลอมได้อย่างสบาย!
‘ยอดเลย ฝึกปราณที่นี่วันเดียวก็เทียบเท่ากับฝึกหนึ่งเดือนแล้ว…’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ สมเป็นแดนเก้าบน แดนมงคลฝึกปราณเช่นนี้ หากอยู่ในโลกภายนอกต้องชักนำให้สำนักใหญ่ต่างๆ เกิดความละโมบและแก่งแย่งกันแน่
แต่ในแดนอัคคีทักษิณแห่งนี้ กลับมีไม่น้อย!
ฮูม!
ไม่นานนักละอองแสงไอวิญญาณราวน้ำตกก็ท่วมตัวหลินสวิน ตัวเขาดูดกลืนและหลอมพลังอย่างบ้าคลั่งเหมือนเหวลึกเหวหนึ่ง
กระทั่งต่อมาภายในบ้านหินทั้งหลังก็เกิดเสียงดังครึกโครมแปลกประหลาด ประหนึ่งพายุสายฟ้าปั่นป่วน ทั้งเหมือนเสียงธรรมกำลังดังก้อง
เลื่อนระดับเป็นราชัน พลังที่จำเป็นต่อการฝึกก็แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
เฉกเช่นในตอนนี้ ไอวิญญาณที่หลินสวินหลอมไปในชั่วหนึ่งลมหายใจ ก็เทียบเท่ากับพลังที่หลอมในหนึ่งวันสมัยอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ!
มองจากตาก็เห็นว่าบาดแผลและพิษร้ายตามร่างกายของหลินสวินกำลังจางลงทีละน้อย ถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ตัวเขารางเลือนอยู่ท่ามกลางละอองแสงไอวิญญาณ พิสุทธิ์ยากจับต้อง
……
หากมองดูจากโลกภายนอก บ้านหินที่หลินสวินอยู่เหมือนวังน้ำวนมหึมาลูกหนึ่งกำลังหมุนวน ทันทีที่ไอวิญญาณทั่วทุกทิศรวมตัวเข้ามา ก็ถูกกลืนกินจนไม่หลงเหลือแม้สักหยด
ครืน!
พร้อมกับที่วังน้ำวนโคจร ยังมีเสียงอึกทึกครึกโครมน่าตระหนกดังขึ้น สั่นสะท้านจิตวิญญาณ
หากไม่ได้เห็นกับตาก็ยากจะจินตนาการได้ว่า นี่คือความเคลื่อนไหวที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งก่อให้เกิดขึ้นยามฝึกปราณ
ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรทุกคนรวมตัวที่ไหล่เขา
เมื่อแหงนหน้ามองดูตรงยอดเขา พวกเขาต่างสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ เผยให้เห็นความเคียดแค้น ไม่ยินยอม อดสูและขุ่นเคือง
ที่นี่เดิมทีเป็นอาณาเขตของพวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูร แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินยึดครองไปแล้ว หนำซ้ำยังบีบบังคับให้พวกเขายอมสยบเป็นข้ารับใช้!
นี่จะให้พวกเขาไม่แค้นได้อย่างไร
‘ศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่จะกลับมาเมื่อไรกันแน่’ มีคนสื่อจิตสอบถามอย่างอดไม่ได้
คนอื่นต่างก็ทอดสายตาไปยังชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น
เขามีนามว่าเมิ่งอิงหวา บารมีสูงส่ง เมื่อได้ยินคำถามนี้เขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อยค่อยพูดว่า ‘คงไม่เกินครึ่งเดือน’
‘ครึ่งเดือนหรือ’
ทุกคนต่างออกจะนั่งไม่ติดแล้ว “แค่ทะลวงอันดับกระดานทองคำผู้กล้า ดูเหมือนไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นกระมัง”
ตอนนี้พวกเขามองเวินเอ้าไห่เป็นดวงดาวช่วยชีวิตเพียงดวงเดียวแล้ว ย่อมต้องการให้เวินเอ้าไห่รีบกลับมาในทันที
‘ไม่ นอกจากทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า ศิษย์พี่เวินยังต้องไปเยี่ยมเยียนขุมอำนาจใหญ่อีกสองสามแห่งเพื่อหารือการใหญ่เรื่องหนึ่ง’
เมิ่งอิงหวาสายตาไหวเคลื่อน
‘การใหญ่อะไรหรือ’ มีคนถามอย่างอดไม่ได้
‘ข้าบอกพวกเจ้าได้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกในกาลเวลาอันยาวนานชิ้นหนึ่ง หากทำได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นผลประโยชน์ก็จะมากมายนัก’
เมิ่งอิงหวาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลุกวาว
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมเยียบเย็น เอ่ยว่า ‘ทุกคนอย่ากระวนกระวายใจ ช่วงนี้อดทนสักไม่กี่วันไปก่อน รอวันที่ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่เสร็จธุระกลับมา ก็จะเป็นเวลาที่เทพมารหลินผู้นี้สิ้นชีพ!’
ทุกคนล้วนพยักหน้า ในใจไม่ท้อแท้สิ้นหวังอีก พวกเขารู้ว่าเวินอ้าวถิงต้องกลับมาแน่!
ก็ในตอนนี้เองเสียงเฉยชาสงบนิ่งของหลินสวินนั้นก็ดังขึ้นที่ไหล่เขาทันที “พวกเจ้ามารวมตัวกันทำอะไร ไม่ใช่บอกให้พวกเจ้าไปขุดแร่หรือ ถ้ากล้าอู้อีก เกรงว่าจะรอศิษย์พี่เวินของพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
ถ้อยคำนี้มีนัยเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลาอยู่ ทันทีที่ดังขึ้นก็สั่นสะเทือนจนพวกเมิ่งอิงหวายากรับไหวจนแทบกระอักเลือด ดวงตาพร่ามัว
สารเลว!
ทุกคนสีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ แค้นจนกัดฟันแทบแตก
‘อดทนไว้ก่อน อย่าไปโต้เถียงกับเขา!’
เมิ่งอิงหวาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปลอบใจทุกคน จากนั้นก็เดินเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินภูเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
ขุดแร่
จริงๆ แล้วก็คือไปขุดเอาหินแร่ที่มีทองเทพสมประสงค์ในภูเขาแห่งนี้
ทว่าหินแร่เหล่านี้ขุดเอามาได้ยากเย็นถึงที่สุด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันยังสั่นคลอนหินแร่เหล่านั้นได้ยาก ทำได้เพียงใช้ของมีคมขุดเจาะทีละนิด
อีกทั้งทองเทพสมประสงค์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ บางครั้งหินแร่ที่ง่วนขุดอยู่ครึ่งวัน ก็มีทองเทพสมประสงค์ขนาดเท่าเมล็ดงาเพียงก้อนเดียว
พูดง่ายๆ นี่ก็คืองานใช้แรงงานหนักงานหนึ่ง!
เมื่อก่อนพวกเมิ่งอิงหวาขุดแร่ก็ไม่รู้สึกลำบาก ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเขาถูกมองเป็นทาส แม้แต่สมบัติที่ขุดออกมายังต้องมอบให้หลินสวินทั้งหมด นี่ช่างน่าคับข้องใจเกินไปแล้ว
เป็นถึงผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ตอนนี้กลับตกเป็นทาสขุดแร่ หากแพร่งพรายออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกตายแน่
“จำไว้ ถ้าขุดทองเทพสมประสงค์ได้ไม่ถึงหนึ่งจิน[1] ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เสียงของหลินสวินดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเย็นชา ทำให้พวกเมิ่งอิงหวาหน้าทะมึน โกรธจนแทบกระอักเลือด
ทองเทพสมประสงค์หนึ่งจินหรือ
สิ่งนี้เป็นถึงวัตถุดิบเทพหายากเชียวนะ ขุดได้ก้อนเท่าหัวแม่โป้งสักก้อนก็จุดธูปขอบคุณสวรรค์ได้แล้ว
ใครจะกล้าคิดขุดหนึ่งจินกัน
นี่มันคิดจะบีบพวกเขาไปตายชัดๆ เลยนะ!
“ทุกคนอย่าหุนหันไป อดทนต่อไป ยอมให้มันกำเริบเสิบสานไปก่อน”
เมิ่งอิงหวารีบร้อนเกลี้ยกล่อม ด้วยกังวลว่าทุกคนจะคุมความรู้สึกไม่อยู่แล้วทำเรื่องไม่เหมาะสม
ทุกคนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อดทนไว้!
……
แดนเก้าบน รวมตัวขึ้นจากแดนใหญ่เก้าแดน
แดนอัคคีทักษิณก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากนี้ยังมีแดนใหญ่อีกแปดแดนอย่างแดนวารีอุดร แดนฟ้าพายัพ แดนปฐพีหรดี แดนวาโยอาคเนย์ แดนคีรีอีสาน แดนกระแสประจิม แดนอสนีบูรพา และแดนยอดศูนย์กลาง
ทุกแดนล้วนเหมือนโลกใบใหญ่ใบหนึ่ง เชื่อมต่อกันเป็นรูปตารางเก้าช่อง
ภายในนั้นมีเพียงแดนยอดศูนย์กลางที่พิเศษสุด ถูกมองว่าเป็น ‘แดนศูนย์กลางเทพ’ มีนัยถึงสถานที่ใจกลางที่ได้รับการดูแลจากวิญญาณเทพ
อีกทั้งตามธรรมเนียมแต่ก่อน แดนยอดศูนย์กลางนี้จะเปิดออกอีกแปดปีให้หลัง
และในปีที่เก้าที่แดนมกุฎมาเยือน ผู้แข็งแกร่งที่กระจายกันอยู่ในแดนอื่นถึงมีโอกาสเข้าไปในแดนยอดศูนย์กลาง
นี่ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่เข้ามายังแดนเก้าบนจากสามพันแดน ตอนนี้ต่างกระจายตัวอยู่ในแดนใหญ่ทั้งแปดที่อยู่นอกแดนยอดศูนย์กลาง!
จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งกับขุมอำนาจที่รวมตัวอยู่ในแต่ละแดนจะมากมายปานไหน การแข่งขันก็ต้องโหดร้ายหาใดเทียบ
เวินเอ้าไห่รู้เรื่องนี้ดี
ตอนนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าป้ายหินมหึมาแท่นหนึ่ง
ป้ายหินเก่าแก่ ด้านบนเทียมขอบฟ้าประหนึ่งเสาค้ำสวรรค์ สีดำสนิทไปทั้งแท่น บนนั้นมีสัญลักษณ์เร้นลับบิดเบี้ยวพิสดารประทับอยู่
ภาพที่สัญลักษณ์แต่ละอันแสดงออกมาก็แตกต่างกันไป บ้างเป็นภาพสุริยันจันทราภูผาธารา บุปผาวิหคแมลงมัจฉา ทั้งยังมีภาพจักรวาลเวิ้งว้าง เดือนปีดึกดำบรรพ์
ล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ยิ่งใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์
ยืนอยู่หน้าป้ายหินก็เหมือนมดมองฟ้า เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยขึ้นเอง
ที่นี่ก็คือศิลาศึกอัคคีทักษิณ!
ในแต่ละแดนต่างมีศิลาศึกทำนองนี้แท่นหนึ่ง
มีเพียงผ่านการทดสอบของศิลาศึกถึงมีความเป็นไปได้ที่จะพาตัวเอาเข้าสู่กระดานทองคำผู้กล้า!
ตอนนี้ไม่เพียงเวินเอ้าไห่ ที่บริเวณใกล้เคียงกับศิลาศึกอัคคีทักษิณยังมีเงาร่างหลายสิบร่างยืนอยู่ทั้งชายหญิง กลิ่นอายล้วนทรงพลังถึงที่สุด
ยืนอยู่ที่นี่ ก็เหมือนราชันองค์แล้วองค์เล่าช่วงชิงความเป็นหนึ่ง!
แม้จะบรรลุเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว เวินเอ้าไห่ในตอนนี้กลับต้องอ่อนน้อมถ่อมตัว
เพราะผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้น ไม่มีใครไม่ใช่ผู้บรรลุระดับมกุฎราชัน!
กลิ่นอายของบางคนในกลุ่มนั้นยังแก่กล้ายิ่งกว่า ทำให้เวินเอ้าไห่รู้สึกถึงความกดดันยากบรรยาย
‘ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็มีระดับมกุฎราชันเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้แล้ว…’
เวินเอ้าไห่ทอดถอนใจในใจ รู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง
สิ่งที่เห็นตรงหน้ายังเป็นแค่สิ่งที่เขาได้เห็น ที่อื่นต้องมีระดับมกุฎราชันมากกว่านี้แน่!
‘มหายุคคราวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนดังคาด ระดับมกุฎราชันที่ยังไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้กลับปรากฏตัวอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคตแล้ว…’
เดิมทีเวินเอ้าไห่ยังอวดดีนัก แต่ตอนนี้เขากลับรู้ชัดแล้วว่ามีเพียงบรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน ถึงจะมีความสามารถอยู่ในแดนเก้าบนแห่งนี้ได้
คิดจะฝ่าถนนโลหิตท่ามกลางระดับมกุฎราชันทั้งมวล ต้องรีบเพิ่มพูนพลังต่อสู้โดยเร็วที่สุด
และคิดจะเพิ่มพูนพลังต่อสู้ วิธีที่รวดเร็วที่สุดก็คือไปเสาะหาและช่วงชิงศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึกมาในกาลเวลาชั่วนิรันดร์เหล่านั้น!
นอกจากทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว
‘สหายยุทธ์เวิน อีกเดี๋ยวเมื่อออกมาแล้ว ขอเชิญท่านมาคุยกันหน่อย’
ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท เวินเอ้าไห่เงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าเงาร่างสีทองเจิดจรัสร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอายอหังการผงาดผยองแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง ดูสะดุดตาถึงที่สุด
องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทอง… อูหลิงเฟิง!
เขาเป็นน้องชายของอูหลิงเฟย องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง แต่อูหลิงเฟยถูกหลินสวินสังหารไปแล้ว ส่วนอูหลิงเฟิงผู้นี้ตอนนี้ก็กลายเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว!
อีกทั้งในแดนอัคคีทักษิณตอนนี้มีสี่ขุมอำนาจใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด ดุจดั่งนายเหนือหัวทั้งสี่ หนึ่งในนั้นก็คือเผ่าอีกาทอง
ข้างกายอูหลิงเฟิงยังมีชายหญิงยืนอยู่หลายคน ต่างเป็นมกุฎราชันที่มาจากขุมอำนาจต่างๆ
เวินเอ้าไห่ไตร่ตรองแล้วพยักหน้าตอบรับทันควัน
เขารู้ว่าเรื่องที่อูหลิงเฟิงต้องการพูดคุย จะต้องเกี่ยวข้องกับมหาศุภโชคเย้ยฟ้าที่ผนึกไว้ในกาลเวลาชั่วนิรันดร์นั่นแน่!
——
[1] จิน เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน