Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1185 คิดไปเองฝ่ายเดียว

ตอนที่ 1185 คิดไปเองฝ่ายเดียว

ไม่นานนักเวินเอ้าไห่ก็ก้าวไปทดสอบ

เพียงแต่ผลการทดสอบกลับทำให้เขาหนักใจ ไม่ติดอันดับ!

นี่ก็หมายความว่า ด้วยพลังต่อสู้ของเขาตอนนี้ยังไม่อาจพาตัวเองขึ้นไปบนหนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าได้!

เวินเอ้าไห่กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่นอย่างเงียบเชียบ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ความรู้สึกไม่ยินยอมในใจถึงค่อยสงบลง แล้วจึงหันกายออกไปจากศิลาศึกอัคคีทักษิณ

ไกลออกไป พวกอูหลิงเฟิงรออยู่นานแล้ว

“อย่าท้อใจไป การช่วงชิงความเป็นหนึ่งในแดนเก้าบนเพิ่งเริ่มขึ้น การชิงอันดับในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่สำคัญอะไร”

อูหลิงเฟิงเอ่ย “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าได้จริงๆ ในตอนนี้ยังมีน้อยนิด”

“คนพวกนี้ทะลวงพลังมหามรรคที่ตนครอบครองไว้ถึงระดับ ‘ระเบียบมรรค’ เริ่มเสาะหาแสวงหนทางแห่งอมตะแล้ว”

“เวินเอ้าไห่อึ้งไป แล้วพูดว่า “มีเพียงครอบครองพลังระเบียบมรรค จึงจะสามารถเข้าไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าได้ใช่หรือไม่”

“นี่ก็คงไม่ใช่หรอก มกุฎราชันที่ล้ำเลิศถึงที่สุดบางส่วน แม้ไม่ได้ครอบครองพลังระเบียบมรรค แต่ก็มีความหวังสูงมากที่จะขึ้นไปอยู่บนนั้นได้”

อูหลิงเฟิงเอ่ย “เท่าที่ข้ารู้ ที่แดนฟ้าพายัพตอนนี้ ชื่อหลิงเซียวผู้นั้นก็ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เก้าสิบสามของกระดานทองคำผู้กล้าในครั้งเดียว โดยไม่ได้ครอบครองพลังระเบียบมรรค”

อันดับที่เก้าสิบสาม!

เวินเอ้าไห่นัยน์ตาหดรัดโดยพลัน

อันดับนี้ดูเหมือนต่ำ แต่อย่าลืมว่าที่แดนเก้าบนในตอนนี้ มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณกับปีศาจเย้ยฟ้าที่โดดเด่นตระการตาไม่รู้เท่าไรรวมตัวอยู่

สามารถได้อันดับเช่นนี้มาทั้งที่ไม่ได้ครอบครองพลังระเบียบมรรค ก็เรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงในโลกแล้ว

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บนตำแหน่งหนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้ายังมีหลายตำแหน่งว่างอยู่ ไม่ได้ถูกคนจับจอง!

คิดเช่นนี้ในใจเวินเอ้าไห่ก็มั่นคงขึ้นไม่น้อย

“พี่อูเคยขึ้นไปอยู่บนนั้นหรือ” เขาใจไหววูบ สายตามองไปยังอูหลิงเฟิง

อูหลิงเฟิงยิ้มเนิบๆ แล้วพูดว่า “ข้าเพิ่งครอบครอบพลังระเบียบมรรคได้อย่างหนึ่ง ตอนนี้พอจะฝืนขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เก้าสิบแปด”

วาจาเรื่อยเฉื่อย แต่ใครก็ฟังออกว่ามีความหยิ่งทระนงเผยออกมาจากถ้อยคำของเขา!

ระดับราชันคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กันได้ยินดังนี้ต่างเผยความตกตะลึงอย่างอดไม่อยู่ รวมถึงความอิจฉาและหวาดหวั่นที่ยากสังเกตเห็นด้วย

อันดับที่เก้าสิบแปดก็ไม่ง่ายแล้ว

อย่างน้อยในหมู่พวกเขาระดับมกุฎราชันกลุ่มนี้ อูหลิงเฟิงก็ยังเป็นคนแรกที่ทำได้!

ทว่าก็เป็นอย่างที่อูหลิงเฟิงว่าไว้ แดนเก้าบนเพิ่งเปิดออกไม่ถึงหนึ่งเดือน การช่วงชิงอันดับในตอนนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

ในช่วงเวลาภายภาคหน้า พร้อมกับที่ศักยภาพของมกุฎราชันแต่ละคนที่เพิ่มพูนขึ้น จึงจะเป็นเวลาประชันอันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าที่แท้จริง

“ไปเถอะ คราวนี้ที่ข้าเชิญทุกท่านก็เพื่อศุภโชคเย้ยฟ้าในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกแห่งนั้น หากได้ครอบครองมัน พวกเราก็มีหวังจะทะลวงอันดับสูงยิ่งขึ้นบนกระดานทองคำผู้กล้า!”

แววตาอูหลิงเฟิงเผยความเร่าร้อนออกมา

……

สามวันผ่านไป

เวินเอ้าไห่ออกจากที่พำนักของเผ่าอีกาทองและหวนกลับมา

เขาครึ้มอกครึ้มใจนัก

ด้วยการเรียกหาของอูหลิงเฟิง มีระดับมกุฎราชันเช่นเดียวกับเขาเจ็ดคนตัดสินใจในแนวทางเดียวกัน ว่าจะเข้าร่วมการเสาะหาศุภโชคเย้ยฟ้า

กำหนดเวลาไว้หนึ่งเดือนต่อจากนี้!

‘หนึ่งเดือน ก็เพียงพอจะทำให้ข้าเพิ่มพูนศักยภาพของตัวเองขึ้นระดับหนึ่งแล้ว’

‘ยังมีผลดารารายอีก ถึงเวลาก็จะสุก มีโอสถเทพตัวนี้ ต่อให้ประสบอันตรายถึงชีวิตในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกก็รักษาชีวิตไว้ได้’

ระหว่างที่ครุ่นคิดไปพลาง ไกลออกไปก็มองเห็นโครงเขาดารารายแล้ว

เวินเอ้าไห่พลันนึกขึ้นได้ว่าผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว ช่องทางมายังแดนเก้าบนปิดลงไปนานแล้ว ตอนนี้เทพมารหลินก็คงมาถึงแดนอัคคีทักษิณแล้วกระมัง

คิดถึงตรงนี้ในใจเวินเอ้าไห่ก็มีไอสังหารที่ไม่อาจเก็บกลั้นได้ผุดขึ้นมา

สมัยอยู่ที่แดนเผาเซียน ด้วยการโจมตีของหลินสวิน ทำให้พวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูรประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

หากไม่เป็นเช่นนี้ พวกเขาผู้สืบทอดที่เข้าสู่แดนเก้าบนคราวนี้คงมีมากขึ้นไปอีก

อย่างสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหลียงเซวี่ยอิ๋น รวมถึงยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎส่วนหนึ่งที่ตายด้วยน้ำมือของหลินสวิน ต่างล้วนมีหวังจะได้บรรลุเป็นระดับมกุฎราชัน!

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันไปแล้ว

หากไม่บังเอิญพบวาสนาเข้า การที่เขาเวินเอ้าไห่จะบรรลุระดับมกุฎราชันก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิดเลย เขาวิญญาณหมื่นอสูรซึ่งเป็นหมู่มังกรไร้หัวจะต้องถูกขุมอำนาจอื่นกลืนแน่!

เวินเอ้าไห่รู้ดีว่าไม่เพียงพวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูรเท่านั้น ขุมอำนาจอย่างเผ่าอีกทอง เผ่าวิญญาณสมุทร สำนักยุทธ์นครนิล ลัทธิบูชาจันทร์ก็ต่างตามล่าหลินสวินอยู่

ขอเพียงหลินสวินปรากฏตัว ย่อมกลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็ง!

เขาดารารายเงียบสงบนัก ดูไม่ออกว่าผิดปกติ นี่ทำให้เวินเอ้าไห่ที่เพลิ่งกลับมาลอบถอนหายใจโล่งอก แดนอัคคีทักษิณแห่งนี้ไม่สงบนัก การปะทะหลั่งเลือดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

ยังดีที่เขาดารารายแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล หาไม่แล้วเกรงว่าจะถูกขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ บางกลุ่มจับจ้องไปนานแล้ว

เสียงเคร้งๆ ระลอกหนึ่งแว่วมาจากบนเขา

นี่ทำให้มุมปากของเวินเอ้าไห่ยกยิ้มพอใจขึ้นอย่างอดไม่ได้ ในใจลอบเอ่ยว่า ช่วงที่จากไปนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนไม่ได้ลืมเรื่องที่ตนฝากฝังไว้ ต่างกำลังขุดเจาะทองเทพสมประสงค์อย่างแข็งขัน

สิ่งนี้เป็นถึงวัตถุดิบเทพที่หายากหาใดเทียบ สามารถหลอมเป็นยอดศาสตรามรรคราชันชั้นเลิศ เป็นได้กระทั่งวัตถุดิบเสริมในการหลอมสมบัติอริยะ!

เวินเอ้าไห่ไม่คิดมากอีก เดินเข้าไปในค่ายกลใหญ่ประตูเขา

เพียงแต่ไม่นานนักเขาก็นิ่วหน้า สายตามองไปยังบ้านหินบนยอดเขา ที่นั่นเป็นที่ฝึกตนของเขา แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังฝึกตนอยู่ในนั้น!

ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้า ในบ้านหินมีศิลาต้นกำเนิด มีคุณประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกปราณ แม้ถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นใช้ไปเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย

“ศิษย์พี่เวิน นะ… ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

หน้าแปลงสมุนไพรที่อยู่ไกลออกไปแปลงหนึ่ง รุ่ยม่านหรงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเงาร่างของเวินเอ้าไห่นางก็ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบไหลในทันใด แล้วเคลื่อนตัวมาทางนี้

เวินเอ้าไห่รู้สึกพึงพอใจอย่างอดไม่ได้ ไม่เจอกันไม่กี่วันเท่านั้นศิษย์น้องรุ่ยก็ตื่นเต้นขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากตนกลายเป็นราชันก็ได้ครองตำแหน่งสำคัญยิ่งในใจนางไปแล้ว

ควรรู้ว่าก่อนที่เขาจะกลายเป็นราชัน รุ่ยม่านหรงไม่เคยปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้มาก่อน ร้องไห้เพราะดีใจถึงที่สุดยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“อะไรนะ ศิษย์พี่เวินกลับมาแล้วหรือ”

เสียงฮือฮาดังขึ้น ในอุโมงค์ถ้ำแร่ไกลออกไป เงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ต่างท่าทางมอมแมมใบหน้าเปื้อนฝุ่น เหนื่อยล้าสุดจะทนได้

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเวินเอ้าไห่ พวกเขาต่างตื่นเต้นจนขอบตาแดง บางคนยิ่งร้องเสียงดังด้วยความยินดี กระโดดโลดเต้นขึ้นมา

สถานการณ์เช่นนั้นทำให้เวินเอ้าไห่ไหวหวั่น รู้สึกอบอุ่นใจ ซาบซึ้งไม่หยุดหย่อน

คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ใครเล่าจะไร้ความรู้สึก

เมื่อเห็นว่าหลังจากศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนเห็นตนเข้าก็ล้วนยินดีปรีดา ตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ เขาจะไม่ซึ้งใจได้อย่างไร

นี่ก็คือสิ่งที่ผู้บรรลุระดับมกุฎราชันเท่านั้นจึงจะได้รับกระมัง

ต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!

เวินเอ้าไห่ลอบเอ่ยในใจ แต่ก่อนตอนยังไม่เป็นราชัน เขาไม่เคยได้ดื่มด่ำการต้อนรับอย่างเป็นเกียรติเช่นนี้มาก่อน

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “ลำบากศิษย์พี่ศิษย์ศิษย์น้องทุกคนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้รวบรวมทองเทพสมประสงค์ได้เท่าไรแล้ว”

ทุกคนสีหน้าไม่น่ามองขึ้นทันใด บางคนกัดฟันเข่นเขี้ยว บางคนแสดงสีหน้าเดือดดาล

เวินเอ้าไห่อึ้งไป ถามว่า “หรือเกิดสถานการณ์ผิดปกติอะไรขึ้น”

ก็ในตอนนี้เองรุ่ยม่านหรงทนไม่ไหวรีบพูดว่า “ศิษย์พี่เวิน พวกนี้เรื่องเล็กทั้งนั้น เทพมารหลินนั่นปรากฏตัวแล้ว เขา…”

ไม่ทันรอให้พูดจบเวินเอ้าไห่ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาแล้ว “ดี! ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะฆ่าไอ้เลวนี่อย่างไรดี ไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏตัวแล้ว!”

สีหน้าเต็มไปด้วยความปรีดา

กลับมาคราวนี้ช่างมีแต่ข่าวดีไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษจากศิษย์พี่ศิษย์ศิษย์น้องทุกคน แม้แต่เทพมารหลินก็ปรากฏตัวแล้ว!

ยามมองดูเวินเอ้าไห่ดีใจจนเป็นเช่นนี้ พวกรุ่ยม่านหรงดีใจไม่ออกสักนิด กลับร้อนรนนัก

“มันอยู่ไหน รีบพาข้าไปหามัน อย่าให้มันหนีไปไม่ได้” เวินเอ้าไห่เอ่ยปากถาม

รุ่ยม่านหรงชี้ไปที่บ้านหินบนยอดเขา พูดด้วยสีหน้าเคียดแค้นว่า “อยู่นั่น!”

เวินเอ้าไห่อึ้งไป แทบนึกว่าตัวเองได้ยินผิดไปแล้ว เอ่ยอย่างตกใจว่า “ศิษย์น้องรุ่ย เจ้าไม่ได้… เข้าใจผิดไปใช่มั้ย”

ที่นี่เป็นถึงเขาดาราราย เป็นอาณาเขตของพวกเขาเขาวิญญาณหมื่นอสูร!

ส่วนบ้านหินบนยอดเขานั่นยิ่งเป็นที่ฝึกตนของเขาเวินเอ้าไห่ เทพมารหลินนั่นจะปรากฏตัวที่นั่นได้อย่างไร

“ไม่ผิด เทพมารหลินอยู่ตรงนั้นล่ะ!”

เมิ่งอิงหวาพุ่งเข้ามา กัดฟันเข่นเขี้ยว พูดด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “เขาไม่เพียงยึดครองที่ฝึกตนของศิษย์พี่ ยังบีบบังคับให้พวกเราขุดแร่ ทองเทพสมประสงค์ที่สกัดได้ในหลายวันนี้ ตอนนี้ล้วนตกอยู่ในมือของเจ้าหมอนี่แล้ว!”

“อะไรนะ”

เวินเอ้าไห่หน้ามืดไปครู่หนึ่ง ความปรีดาในใจมลายหายไปสิ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าการคาดเดาทั้งหมดที่ตนเพิ่งคิดไว้ เหมือนจะเข้าใจผิดหมดแล้ว…

ในช่วงที่ตนจากไปนี้ เขาดารารายไม่ได้สงบสุข!

“แล้วก็ ทันทีที่เทพมารหลินมาถึงก็ฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเราไปแปดคน ยึดครองเขาดาราราย ทั้งยังบีบ… บีบบังคับให้พวกเราคุกเข่าสวามิภักดิ์!”

ทุกคนทั้งเศร้าและเดือดดาล เผยความอดสูและความแค้นไม่มีที่สิ้นสุดออกมา

ส่วนเวินเอ้าไห่นั้นรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ที่นี่ไม่ใช่แค่ไม่สงบสุข แม้แต่รังยังถูกคนอื่นเข้ายึดครองไปแล้วด้วย!

ความขุ่นเคืองยากบรรยายผุดขึ้นในจิตใจ โกรธจนหน้าเขียวเอ่ยว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ มีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา เขาเป็นบุคคลระดับกระบวนแปรจุติตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงยังทำได้ขนาดนี้อีก หรือพวกเจ้าไม่กล้าไปขัดขวาง”

รุ่ยม่านหรงพูดด้วยเสียงเจ็บปวด “ศิษย์พี่เวินท่านเข้าใจผิดแล้ว เทพมารหลินผู้นี้กลายเป็นระดับมกุฎราชันไปแล้ว…”

ระดับมกุฎราชัน!

เมื่อคำนี้ดังออกมา เกิดเสียงวิ้งในสมองเวินเอ้าไห่ ทำเอาเขาหน้ามืดไปครู่หนึ่ง นี่… นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ตอนนี้เขาถึงเข้าใจได้ในที่สุด เมื่อกี้ไม่ว่าจะเป็นรุ่ยม่านหรงหรือศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้มาต้อนรับการกลับมาของเขา แต่เป็นเพราะถูกผู้อื่นข่มเหง และรอให้เขามาช่วยเหลือ!

นี่ อาจจะเรียกได้ว่าคิดไปเองฝ่ายเดียวแล้ว…

อึดอัด อับอาย ตื่นตกใจ คับแค้น… ความรู้สึกต่างๆ ผุดขึ้นในใจเวินเอ้าไห่ราวภูผาถล่มทะเลคำรน ทำให้เขาแทบกระอักเลือด

นี่เพิ่งจากไปไม่กี่วัน ทำไมถึงเปลี่ยนไปหมดทุกอย่างแล้วล่ะ

ดวงตาของเวินเอ้าไห่แดงขึ้นทันทีทันใด ผมทุกเส้นชี้ตั้ง จดจ้องบ้านหินบนยอดเขาหลังนั้น คำรามอย่างทนไม่ได้อีกต่อไปว่า “หลินสวิน ยังไม่รีบไสหัวออกมารับความตายอีก!?”

เสียงดั่งอสนีบาตสะท้านฟ้าดิน ทำเอาห้วงอากาศโดยรอบปั่นป่วนไปทุกกระเบียด

เขาเดือดดาลโดยสมบูรณ์แล้ว แค้นจนคลุ้มคลั่ง

“ร้องโวยวายอะไร ถ้าทำลายโอสถวิญญาณกับหญ้าวิญญาณบนเขาไปเจ้าคงชดใช้ไม่ไหว พวกเจ้าด้วย ยังนิ่งอึ้งหาอะไร รีบไปขุดแร่!”

เงาร่างของหลินสวินเยื้องย่างออกมาจากในบ้านหินช้าๆ สองมือไพล่หลัง ท่าทางเหมือนเป็นเจ้าของเขาลูกนี้ ตำหนิพวกเวินเอ้าไห่

เวินเอ้าไห่อยากจะอาเจียนเป็นเลือดเต็มแก่แล้ว ไอ้หมอนี่…

รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท