Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1188 พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว

ตอนที่ 1188 พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว

สิบวันต่อมา

หลินสวินยืนอยู่หน้าบ้านหิน ดวงตาจับจ้องไปที่ดอกตูมหนึ่งเดียวที่ห้อยอยู่บนกิ่งต้นไม้เทพดาราราย

มันบานออกเกินครึ่งแล้ว รัศมีเทพราวธารดาราไหลวนออกมา กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ลายมรรคริ้วแล้วริ้วเล่าบนกลีบดอกไม้ชัดเจนจนมองเห็นได้

พอจะมองเห็นคนตัวเล็กคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิเหมือนกำลังฝึกปราณอยู่รางๆ ผ่านประกายแสงที่อบอวลไปทั่วเกสรดอกไม้ มีเสียงท่องธรรมดังขึ้น

หลินสวินฝึกปราณจนกระทั่งตอนนี้ ยังเพิ่งเคยเห็นโอสถเทพเป็นครั้งแรก ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุดิบวิญญาณชิ้นนี้ ประหนึ่งเทียมเทพ มีจิตวิญญาณ

ในถ้ำแร่ที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกเมิ่งอิงหวายอมรับความพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความคิดแปรพักตร์ ทุ่มเทขุดแร่เป็นพิเศษ

จนถึงตอนนี้ก็ขุดทองเทพสมประสงค์ให้หลินสวินได้เกือบยี่สิบจินแล้ว!

หากอยู่ในโลกภายนอก เพียงพอจะทำให้อริยะน้ำลายไหลได้

อย่างไรเสียทองเทพสมประสงค์ก็เป็นทั้งเจตวัตถุหายากที่ใช้หลอมยอดศาสตรามรรคราชัน และยังเป็นวัตถุดิบเสริมในการหลอมสมบัติอริยะได้ด้วย มูลค่าน่าตกใจหาใดเทียบ

หลินสวินไม่คิดอะไรต่ออีก เดินกลับไปบ้านหินอีกครั้ง

ในช่วงเวลาสิบวันนี้เขาได้ทะลวงแก่นมรรคธาตุน้ำถึงระดับระเบียบมรรค และกำลังจะบรรลุแก่นมรรคธาตุไฟแล้ว

หลินสวินคร่ำเคร่งกับพลังมหามรรคสองชนิดนี้มานานแล้ว กอปรกับได้ ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ช่วยเสริม การบรรลุจึงเป็นเรื่องที่ควรทำได้อย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว

สำหรับมหามรรคเจินหลงกับมรรคดับดารากลืนกินกลับก้าวหน้าได้ช้า มหามรรคทั้งสองชนิดนี้ต่างแข็งแกร่งและอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อหยั่งรู้จึงยากกว่ามหามรรคทั่วไปมาก

แต่หลินสวินก็ไม่รีบร้อน การหยั่งรู้ปริศนานัยเร้นลับมหามรรค เดิมก็เป็นสิ่งที่ต้องเก็บเล็กผสมน้อย รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์

……

ในป่ารกร้างผืนหนึ่งที่ห่างจากเขาดารารายไปไกลลิบ เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอย่างเงียบเชียบ

“ศิษย์พี่ลี่ ที่นั่นคือเขาดาราราย ถือเป็น ‘แดนมงคลน้อย’ แห่งหนึ่งที่อยู่ในแดนอัคคีทักษิณ ดูจากบรรยากาศของมันแล้ว ข้างใต้ต้องมีชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมสายหนึ่งซ่อนอยู่ บนภูเขายังเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะมีโอสถเทพที่แท้จริงด้วย”

ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งดวงตาวาวโรจน์ เจือไปด้วยแววละโมบ

“สิบกว่าวันก่อนข้าสืบมาแน่ชัดแล้วว่า ผู้ที่ยึดครองเขาลูกนี้ก็คือผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร มีเพียงระดับมกุฎราชันคนหนึ่งนามว่าเวินเอ้าไห่ควบคุมดูแล”

“พูดได้ว่าด้วยพลังของพวกเราสำนักเพลิงมืด หากทุ่มเทพลังทั้งหมดก็เพียงพอจะโจมตีเขาลูกนี้ได้!”

เมื่อชายหนุ่มชุดดำพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างแววตาไหววูบ แสดงความฮึกเหิมออกมา

ในโลกภายนอก รากฐานพลังของสำนักเพลิงมืดไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาวิญญาณหมื่นอสูร

แต่ที่น่าอึดอัดก็คือ กระทั่งตอนนี้กลับยังยึดครองอาณาเขตไม่ได้สักที่

เหตุผลก็ง่ายดาย ในแดนอัคคีทักษิณมี ‘แดนมงคลน้อย’ หลักร้อยแห่ง ‘แดนมงคลใหญ่’ สี่ห้าแห่ง แต่ถูกขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ยึดครองไปนานแล้ว

โดยเฉพาะขุมอำนาจที่ยึดครอง ‘แดนมงคลใหญ่’ เหล่านั้น รากฐานพลังแต่ละกลุ่มต่างน่ากลัวกว่าอีกกลุ่ม มีระดับมกุฎราชันมากมายบัญชาการ

ถ้าผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านี้ต้องการตั้งหลักที่แดนอัคคีทักษิณ ก็ต้องรีบสะสางปัญหาเรื่องที่ปักหลักให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วในช่วงแปดเก้าปีต่อไปจะต้องถูกขุมอำนาจอื่นทิ้งห่างแน่

“ข้อมูลสืบมาแน่ชัดแล้วหรือ”

ข้างกายชายหนุ่มชุดดำ ชายร่างผอมบางรูปลักษณ์อ่อนโยน ผิวพรรณขาวสะอาด มีดวงตาหงส์ผู้หนึ่งเอ่ยปาก เสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง

ลี่ซั่งสุ่ย!

ระดับมกุฎราชันผู้หนึ่งของสำนักเพลิงมืด แม้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่ก่อนเป็นราชันก็เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มีชื่อมานานผู้หนึ่ง

“ศิษย์พี่ลี่วางใจได้ ไม่ผิดพลาดแน่นอน ข้าเอาชีวิตเป็นประกันได้!”

ชายหนุ่มชุดดำสาบานเป็นมั่นเหมาะ

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นก็… ลงมือเถอะ!”

ลี่ซั่งสุ่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวให้ข้าเป็นหัวหอกไปจัดการเวินเอ้าไห่ผู้นั้น ส่วนพวกเจ้าไปสู้กับผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนอื่น จำไว้ ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี รีบรบรีบจบ!”

ทุกคนรับคำเสียงกึกก้อง

ครู่ต่อมาพวกเขาร่างพวกเขาก็พริบไหว พุ่งออกไปยังเขาดาราราย

ในแดนอัคคีทักษิณมีการปะทะนองเลือดทำนองนี้เกิดขึ้นทุกวัน เพื่อช่วงชิงแดนมงคลเขาวิญญาณ ขุมอำนาจต่างๆ จากดินแดนรกร้างโบราณจึงช่วงชิงความเป็นหนึ่งอย่างดุเดือด

ตูม!

ทันทีที่มาถึงเงาร่างของลี่ซั่งสุ่ยก็ปรากฏ เรียกขวานศึกที่มีแสงเงินหลั่งไหลออกมาเล่มหนึ่ง ตวัดมือซัดไปยังเขาดารารายอย่างแรง

ทันใดนั้นผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมเหนือภูเขาก็ปั่นป่วนอย่างหนักหน่วง

ขวานศึกสีเงินเจิดจ้าเล่มนี้แข็งแกร่งถึงที่สุด พลานุภาพที่แผ่ออกมาเหนือกว่าสมบัติระดับราชันทั่วไปไปไกล

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่ตัวลี่ซั่งสุ่ยหล่อเลี้ยงขึ้นมา!

พวกเมิ่งอิงหวาตื่นตระหนก วิ่งออกมาจากในถ้ำแร่ด้วยสีหน้าฉงน ใครกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าโจมตีเขาดารารายด้วย

ทันใดนั้นพวกเขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปนานแล้ว เวินเอ้าไห่ตายไปแล้ว พวกเขาผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรได้กลายเป็นฝูงมังกรไร้หัว ตอนนี้ต่างพึ่งพิงเทพมารหลินผู้เดียว

“เวินเอ้าไห่ ถ้ากล้าจริงก็ออกมาสู้กันสักตั้ง!”

ห้วงอากาศไกลออกไป เสียงของลี่ซั่งสุ่ยอ่อนหวาน แต่กลับดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

โครม!

ยามพูดจาขวานศึกสีเงินยวงเล่มนั้นก็ฟันลงมาอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องภูเขาส่งเสียงระเบิด สั่นคลอนจะทลายลงมา

นี่ทำให้พวกเมิ่งอิงหวาตื่นตระหนกระคนโกรธเคือง รับรู้ได้ว่าคนกลุ่มนี้แจ้นมาชิงอาณาเขต!

“หากไม่ออกมาอีกก็อย่าโทษที่ข้าทำลายค่ายกลนี่ทิ้งก็แล้วกัน แต่ถึงตอนนั้นเกรงว่าบนเขาดารารายแห่งนี้คงจะนองเลือดไปทั่วแล้ว!

อานุภาพจู่โจมของลี่ซั่งสุ่ยรุนแรงอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพองค์หนึ่ง ควบคุมขวานศึกฟาดฟันลงมา อานุภาพสะท้านใจ

“เวินเอ้าไห่ไม่อยู่ พวกเจ้ามีธุระอะไรก็พูดมาตรงๆ”

ก็ในตอนนี้เองหลินสวินเดินออกมาจากในบ้านหินบนยอดเขา ดวงตาดำลุ่มลึกเยียบเย็น จ้องมองลี่ซั่งสุ่ยที่อยู่ไกลออกไป

เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนละโมบอยากได้เขาดาราราย จนออกตัวโจมตีถึงที่ เรียกได้ว่าเภทภัยตกลงมาจากฟ้าจริงๆ

“ไม่อยู่?”

ลี่ซั่งสุ่ยนิ่วหน้า จากนั้นก็ยิ้มถามอย่างน่าสะพรึงกลัวว่า “พูดแบบนี้ก็ถือว่าฟ้าช่วยข้าไว้ จะเมตตาพวกเจ้าสักครั้ง ถ้าตอนนี้รีบไสหัวออกไปจากเขาดารารายแห่งนี้ จะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”

ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดคนอื่นต่างก็ฮึกเหิม นี่ต้องเป็นโอกาสงามฟ้าประทานแน่

สายตาพวกเมิ่งอิงหวาพากันมองไปที่หลินสวินอย่างกระวนกระวาย ท่าทางน่าสงสารเหมือนหาที่พึ่งพิง

หลินสวินย่อมไม่สนใจไม่ได้ ตอนนี้เขาดารารายแห่งนี้เป็นอาณาเขตของเขาไปแล้ว จะยอมให้คนอื่นสอดมือเข้ามาได้หรือ

ยิ่งไปกว่านั้นอีกเดี๋ยวโอสถเทพบนยอดเขาผลนั้นก็จะสุกแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่ว่าใครมาหลินสวินก็ไม่ยอมเสียเขาดารารายไปเด็ดขาด!

วู้ม!

ลี่ซั่งสุ่ยเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ควบคุมขวานศึกสีเงินยวงนั่นคิดจะทำลายค่ายกลอีก

“ถ้าเจ้ายังกล้าลงมืออีก ข้าจะสับเจ้า!”

นัยน์ตาดำของหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เจ้าพวกนี้กำเริบเสิบสานดีจริง มาช่วงชิงอาณาเขตอย่างผ่าเผย นี่คิดจะชิงไปอย่างโจ่งแจ้งชัดๆ

“สับข้า?”

ลี่ซั่งสุ่ยเหมือนได้ยินเรื่องตลกใหญ่เท่าฟ้า แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านั้นต่างดีอกดีใจ ก่อนมาพวกเขาได้สืบข่าวแล้วว่าเขาดารารายแห่งนี้มีเพียงเวินเอ้าไห่คนเดียวที่บรรลุระดับมกุฎราชัน

ตอนนี้เวินเอ้าไห่ไม่อยู่ แต่ยังมีคนลุกขึ้นมาข่มขู่เสียอย่างนั้น ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจนน่าสงสารจริงๆ

ทว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าพวกเมิ่งอิงหวาที่เดิมตื่นตระหนกอยู่ ตอนนี้ต่างดูสงบนิ่งนัก สายตาที่มองมายังพวกเขาล้วนเจือไปด้วยความเวทนา

คนโง่พวกนี้ ยังจำไม่ได้ว่าคนที่พูดกับพวกเขาคือเทพมารหลินที่มีชื่อจากความดุร้าย ช่าง… น่าเห็นใจเกินไปแล้ว

คนสองกลุ่มต่างลอบเวทนาอีกฝ่าย ดูชอบกลนัก

“มา เจ้าลองมาสับข้าไหมล่ะ”

ลี่ซั่งสุ่ยแววจาหยอกเย้า เผยความโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวออกมา

ในฐานะผู้มีปราณระดับมกุฎราชัน แม้แต่คนรุ่นเดียวกันยังไม่กล้าข่มขู่ด้วยวาจาเช่นนี้ แต่ตอนนี้กลับมีคนพูดเช่นนี้ออกมา นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่หาใดเทียบ

ตูม!

ยามเอ่ยเขาสะบัดข้อมืออย่างแรง ขวานศึกสีเงินอัดแน่นไปด้วยพลังราชันอันน่ากลัว โจมตีไปยังค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องภูเขาอยู่เหมือนดาวหางที่ตกลงมาดวงหนึ่ง

เพียงแต่ระหว่างที่อยู่ครึ่งทาง มือใหญ่เรียวยาวขาวสะอาดมือหนึ่งปรากฏขึ้น กำขวานศึกสีเงินเล่มนั้นไว้อย่างมั่นคง เมื่อพลิกฝ่ามือก็ยึดมาถือไว้ในมือ

ลี่ซั่งสุ่ยอึ้งไป ดวงตาแทบกระดอนออกมา

สิ่งนี้เป็นถึงยอดศาสตรามรรคราชันที่เขาเลี้ยงดูออกมายากเย็น พลังที่บรรจุอยู่แม้แต่ตัวเขายังใจสั่น แต่ตอนนี้กลับถูกคนอื่นควบคุมไว้อย่างรวดเร็ว!

ชั่วพริบตา รอยยิ้มน่ากลัวบนหน้าเขาแข็งทื่อ ขนลุกชูชัน

ภาพนี้เกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งนัก ยามหลินสวินยึดกุมขวานศึกนี้ ผู้แข็งแกร่งสำนักเพลิงมืดเหล่านั้นยังหัวเราะเกรียวกราว

ทว่าไม่นานนักพวกเขาก็ยิ้มไม่ออกเหมือนลี่ซั่งสุ่ย ท่าทางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น

บรรยากาศเงียบสงัดขึ้นมามันใด

ส่วนพวกเมิ่งอิงหวาสีหน้ายิ่งเวทนา แต่ละคนมีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ คนโง่พวกนี้ไม่ดูเลยว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร

เทพมารหลินนั่นเป็นคนที่ใครก็หัวเราะเยาะเย้ยได้ง่ายๆ หรือ

“เจ้า… เจ้าเป็นระดับมกุฎราชันหรือ”

ลี่ซั่งสุ่ยพลันสูดหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าอึมครึม

“รอสับเจ้าแล้วเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลินสวินยิ้มน้อยๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเย็นชาหาใดเทียบ ไม่เจือความรู้สึกสักนิด

ตูม!

เขาพุ่งตัวขึ้นไป ระเบิดออกโดยสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้ยังเป็นชายหนุ่มที่ท่าทางละกิเลสดั่งเมฆคล้อยคนหนึ่ง ชั่วพริบตากลับเหมือนแปรสภาพเป็นเทพมารไร้เทียมทานที่โอหังเหนือสิบทิศองค์หนึ่ง มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ไม่ยอมใคร

แย่ล่ะ!

ลี่ซั่งสุ่ยหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาตาถั่ว แต่เพราะในการรับรู้ของเขาไม่อาจจำแนกกลิ่นอายที่แท้จริงของหลินสวินได้ จนทำให้ตัดสินผิดพลาด

กอปรกับก่อนหน้านี้คนร่วมสำนักของเขารับรองเป็นมั่นเหมาะ ว่าบนเขาดารารายแห่งนี้มีเวินเอ้าไห่บรรลุระดับมกุฎราชันเพียงคนเดียว ทำให้เขาคิดไปตามจิตใต้สำนึกว่าหลินสวินเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

ใครจะคิดว่าการตัดสินที่ผิดพลาดนี้ ตอนนี้กลับดึงดูดคนร้ายกาจที่บรรลุระดับมกุฎราชันอย่างชัดเจนคนหนึ่งออกมา!

การต่อสู้ปะทุขึ้นในชั่วพริบตา

ไม่อาจหลบหนีได้เลย แม้ในใจลี่ซั่งสุ่ยจะตื่นตระหนกแต่กลับไม่ว้าวุ่น สำแดงความสามารถที่ระดับมกุฎราชันผู้หนึ่งมีออกไป

เขาคำรามเสียงยาวกลางห้วงอากาศ รอบกายมีเพลิงมืดถาโถม โคจรพลังต่อสู้ของตนถึงขีดสุด

ทว่าเพียงชั่วคู่เดียวเขาก็รับไม่ไหว ถูกหลินสวินกดข่มไว้โดยสมบูรณ์ ร่างกายได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง เลือดสดๆ กระฉูดออก

ส่วนที่ทำให้เขาบาดเจ็บ กลับเป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่เขาฟูมฟักออกมาเอง…

นี่ทำให้ลี่ซั่งสุ่ยตื่นตระหนกระคนโกรธแค้น ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองว่าในบรรดาผู้มีปราณระดับมกุฎราชัน มีคนร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร

ตอนนี้ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านั้นต่างงุนงง ตัวสั่นงันงกเพราะตกตะลึง ในสมองสับสนงงงวย พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าการจู่โจมภูเขาครั้งหนึ่งเพิ่งเริ่มขึ้น ลี่ซั่งสุ่ยก็ถูกกำราบไว้แล้ว ปรากฏเค้าลางพ่ายแพ้…

พิลักพิลั่นเกินไปแล้ว ช่างเหมือนกับฝันไป!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท