ดาบหักกำลังส่องแสงขาวเจิดจ้าราวหิมะ แทบจะโปร่งใส
ประกายดาราเจิดจรัสเป็นริ้วๆ อบอวล ขับเน้นให้ดาบหักเหมือนภาพมายา มีกลิ่นอายผุดผ่องฟุ้งกระจาย ประหนึ่งผลงานชิ้นเอกของสรวงสวรรค์
ส่วนในห้วงนิมิตของหลินสวินกลับปรากฏค่ายกลลายมรรคลึกลับอันหนึ่ง เก่าแก่และกว้างใหญ่ไพศาล วาดออกมาเป็นอักษร ‘ปฐม’ ตัวหนึ่ง
ทุกเส้นทุกขีดดั่งร่องรอยมหามรรค
สิ่งนี้คือมรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค เป็นวิชาที่ใช้กับดาบหักวิชาหนึ่ง พิศวงหาใดเทียบ
หากไม่เป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้หลินสวินคงไม่อาจควบคุมและใช้ดาบดุร้ายพลิกฟ้าที่มีที่มาลึกลับอย่างยิ่งนี้ได้ตามใจนึก
และตอนนี้ พร้อมกับที่ดาบหักดูดซับพลังของเถาน้ำเต้าเขียวสดนั้น พลังมรดกมหาศาลก็ผุดขึ้นในห้วงนิมิตของหลินสวินอีกครั้ง
สิ่งนี้คือค่ายกลลายมรรคผืนใหม่ หนาแน่น ไพศาล คลุมเครือ แปรผันและสำแดงอยู่ในห้วงนิมิตของหลินสวินอย่างไม่ขาดสาย
ในที่สุดก็แปรสภาพขีดร่างออกมาเป็นอักษร ‘ยอด’ ตัวหนึ่ง!
โครม!
ชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าห้วงนิมิตสั่นสะเทือน พลังมรดกที่ถาโถมผุดออกมาราวมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล
ก้นบึ้งจิตใจหลินสวินปรากฏการหยั่งรู้เร้นลับและคลุมเครือนับไม่ถ้วน ประทับลงไปบนหัวใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งประหนึ่งได้สติรู้ตื่น
เพียงแค่รู้สึก แต่กลับพูดออกมาไม่ได้ สิ่งนี้เรียกว่าลึกลับไม่อาจเอื้อนเอ่ย
‘ที่แท้ นี่เป็นวิชาลับสูงสุดชนิดหนึ่งที่กระตุ้นพลานุภาพของดาบหัก กล่าวถึงว่าต้องทำอย่างไรถึงใช้พลังชั้น ‘ยอด’ ฟาดฟันศัตรู…’
ในใจหลินสวินรู้ชัด เห็นแจ้งอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ตอนได้มรดกอักษร ‘ปฐม’ มา หลินสวินก็สังเกตได้ว่ามรดกวิชาของดาบหักแบ่งออกเป็นสี่ส่วน กระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งได้มรดกส่วนที่สองมาด้วยบุญพาวาสนาส่ง…
‘ยอด’!
ถ้ากล่าวว่ามรดกอักษรปฐมคือวิธีพื้นฐานในการใช้ดาบหัก
เช่นนั้นมรดกอักษรยอดก็เป็นการปูกระเบื้องบนหลังคาสูง สิ่งที่สอนก็คือจะกระตุ้นอานุภาพของดาบหักถึงจุดสูงสุดอย่างไร!
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินไหวหวั่น
ศาสตราจิตชิ้นหนึ่งกลับมีรายละเอียดที่ลึกลับคลุมเครือมากมายเช่นนี้ ถึงกับยังต้องมีมรดกที่เสริมพลังกับมันจึงจะปลดปล่อยอานุภาพของมันออกมาได้
ไม่อาจไม่พูดว่า สิ่งนี้พบเห็นได้ยากเกินไปแล้ว!
……
ภายในเจดีย์หินบรรยากาศเงียบเชียบ
สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องดาบหักอย่างเร่าร้อน มองดูมันปล่อยประกายแวววาว ดูดซับพลังที่บรรจุอยู่ในเถาน้ำเต้าเถานั้นอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ในระหว่างนี้หลินสวินได้มรดกวิชาที่เกี่ยวโยงกับนัยเร้นลับสูงสุดของดาบหักมาวิชาหนึ่งโดยบังเอิญแล้ว
ตัวหลินสวินเองย่อมไม่บอกความลับที่เป็นเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ออกไป
พรึ่บ!
ไม่นานนักเสียงทึบหนึ่งดังขึ้น เถาน้ำเต้าที่เปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉา ซีดเซียว หลุดร่อนเป็นเถ้าธุลีอยู่ก่อนแล้ว หายไปไม่เหลือแม้แต่ราก
แต่บนพื้นนั้นกลับมีโพรงใหญ่เท่ากำปั้นโพรงหนึ่ง
ดูเหมือนโพรงที่ไม่สะดุดตาโพรงหนึ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกน่าหวาดผวาที่ ‘ลึกล้ำสุดหยั่ง’ เสียได้!
ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ส่งเสียงครางอึดอัด หน้าเปลี่ยนสีทันใด เมื่อกี้เขาใช้จิตรับรู้เข้าไปสำรวจในโพรงใต้ดินนั้น และประสบกับแรงดูดกลืนที่น่าหวาดหวั่นถึงที่สุดเข้าทันที
หากไม่ใช่เขาตัดจิตรับรู้โดยเด็ดขาด คงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณถูกดูดกลืนเข้าไปในนั้น!
ผู้อื่นเห็นเช่นนี้ล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวง่ายๆ
“ให้ข้าลองดูหน่อย”
เจ้าคางคกเหมือนสังเกตเห็นอะไร นำซากกระดูกโชกเลือดชิ้นหนึ่งออกมา แล้วโยนไปกลางโพรงใต้ดินนั้น
ภาพน่าตกใจปรากฏขึ้นแล้ว ซากกระดูกนั้นเหมือนตกลงไปในเหวลึกไร้ขอบเขต ชั่วครู่เดียวแปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยหาใดเทียบ แค่พริบตาก็หายลับไป
ทุกคนต่างหน้าหวั่นไหว แต่เจ้าคางคกกลับยิ้มแล้ว พูดกับหลินสวินว่า “นี่คือถ้ำสุเมรุที่ฟ้าดินสร้างขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดูเหมือนมีขนาดเท่ากำปั้น จริงๆ แล้วใหญ่เท่าโกรกธารเหวลึก!”
นัยน์ตาสีทองของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ลูบไม้ลูบมือพูดว่า “รากเถาน้ำเต้าที่ให้กำเนิดเพลิงมรรคฟ้าประทานต้นนั้นก็งอกขึ้นมาจากถ้ำสุเมรุแห่งนี้ คิดได้เลยว่าภายในนั้นต้องมีวาสนามากกว่านี้แน่!”
ครู่เดียวสายตาของคนอื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายขึ้นมา
“แต่ถ้าเกิดในนั้นมีอันตรายซุกซ่อนอยู่จะทำอย่างไร” จี้ซิงเหยาถามอย่างอดไม่ได้
เจ้าคางคกอึ้งไป พูดว่า “อยากได้วาสนาจะไม่เสี่ยงอันตรายได้อย่างไร ถ้าเจ้ากลัวก็เฝ้าที่นี่ไว้”
จี้ซิงเหยาเป็นถึงยอดหญิงงาม ดุจดั่งเทพธิดาในภาพเขียน
แต่เขากลับไม่เกรงใจสักนิด ทำเอาคนอื่นต่างตกใจอยู่บ้าง ในใจลอบเอ่ยว่าเจ้าหมอนี่โอหังบ้าระห่ำเสียจริง
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าว่าหลินสวินจะมาช่วยเจ้าไหม”
วาจาจี้ซิงเหยาเรื่อยเฉื่อยเนิบนาบ ครั้งแรกที่พบเจ้าคางคกก็เคยประสบกับความหยิ่งทระนงของเจ้าหมอนี่แล้ว ย่อมไม่โมโหเพราะสิ่งนี้
เจ้าคางคกนิ่งอึ้งไป กำลังจะพูดอะไรออกมาก็ถูกหลินสวินรั้งไว้แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอแล้ว รีบเคลื่อนไหวเถอะ”
ดังคาด เจ้าคางคกไม่ปริปากแล้ว
นี่เรียกว่าสรรพสิ่งล้วนมีจุดอ่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าคางคกเป็นคนที่หยิ่งยโสถึงที่สุดผู้หนึ่ง ถึงขั้นกล้าว่ากล่าวเทพธิดาจี้ แต่ต่อหน้าหลินสวินกลับเชื่อฟัง ทำให้คนอื่นตาเบิกกว้างอย่างช่วยไม่ได้
สวบ!
เจ้าคางคกไม่ลังเล เดินเข้าไปทางถ้ำสุเมรุนั้นเป็นคนแรก ก็เห็นว่าเงาร่างของเขาหดเล็กลงทันใด จนกระทั่งต่อมาเล็กเท่ามด หายลับไปในส่วนลึกของถ้ำสุเมรุ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ตามไปติดๆ
หากภาพนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าใครก็คงทำใจเชื่อได้ยาก ว่าโพรงใต้ดินขนาดเท่ากำปั้นโพรงหนึ่งกลับก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์เช่นนี้
ตูม!
ใต้ถ้ำสุเมรุเป็นโลกสีแดงเพลิงแห่งหนึ่ง สรรพสิ่งล้วนลุกไหม้ มีเพียงภูเขาไฟลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน มีเปลวเพลิงพุ่งทะลุเมฆทะลักออกมาเสียงดังอึกทึกราวสายฟ้า
เมื่อพวกหลินสวินมาถึงก็รู้สึกร้อนเหมือนอยู่ในเตาไฟทันที ผิวหนังเจ็บแสบเป็นระลอก
แม้โคจรพลังทั้งหมดที่มีก็ยังทำได้เพียงฝืนต้านไว้ ไม่อาจสลายได้!
“นั่นคือ…”
ไม่นานนักสายตาของพวกเขาต่างถูกภูเขาไฟที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไปลูกนั้นดึงดูด สีหน้าปรากฏแววสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
ภูเขาไฟลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน ประหนึ่งเตาไฟขนาดใหญ่หนึ่งเตา เผาไหม้จักรวาล แผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นที่สามารถทำลายโลกได้
ที่ทำให้คนหน้าเปลี่ยนสีที่สุดก็คือ สิ่งที่ทะลักออกมาจากภูเขาไฟไม่ใช่หินหนืด แต่เป็นเพลิงมรรคดวงแล้วดวงเล่า!
เพลิงมรรคบางดวงรูปร่างเหมือนหงส์เซียน ยามตีปีกก็มีแสงอัคคีพร่างพราวนับหมื่นชั้นพร่างพรม เผาห้วงอากาศให้ยุบตัว
เพลิงมรรคบางดวงรูปร่างเหมือนต้นไม้โบราณ ทุกกิ่งทุกใบล้วนกำลังลุกโชน ขยับไหวร่ายรำในห้วงอากาศ รุ้งเพลิงคล้ายน้ำตกสายแล้วสายเล่าเทลงมา
เพลิงมรรคบางดวงก็แปลงเป็นดาบ หอก กระบี่ ทวน ขวาน ขวานวงจันทร์ ตะขอและง่ามมากมายหลากสีสัน งดงามไร้ถ้วนทั่ว ส่งเสียงชิ้งๆ กลางห้วงอากาศ ปลดปล่อยเปลวเพลิงเย้ยฟ้าออกมา
กระทั่งยังมีเปลวเพลิงที่สำแดงเป็นอักษรมหามรรคไหววูบแล้วหายไปกลางอากาศ!
เพลิงมรรคทุกชนิดล้วนเป็นเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่มีชื่อสมพลัง พบเห็นได้ยากในดินแดนรกร้างโบราณ สูญสิ้นไปนานแล้ว
แต่ที่นี่กลับพบเห็นได้เจนตา!
“สวรรค์…”
จั่นลู่ซิวเสียงสั่นเครือ ดวงตาเบิกกว้างเหมือนได้เห็นปาฏิหาริย์ฟ้าประทานครั้งหนึ่ง
ในใจคนอื่นๆ ก็ตะลึงพรึงเพริดอย่างไม่อาจเลี่ยงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโลกใต้สุสาน พวกเขาก็หาเพลิงมรรคต้นกำเนิดพบหลายดวง แม้มีจำนวนน้อย แต่ก็ทำให้พวกเขายินดีปรีดาเหมือนบ้าคลั่งแล้ว
แต่เทียบกับภาพตรงหน้านี้ล้วนไม่มีความหมาย ห่างชั้นกันไม่อาจเทียบได้!
“พบแล้วๆ นี่แม่งต้องเป็นมหาศุภโชคเย้ยฟ้าแห่งหนึ่งแน่!”
เจ้าคางคกร้องเสียงดังตื่นเต้น
ต่อให้เป็นหลินสวินก็ไม่อาจสงบใจได้
ใครจะเชื่อได้ว่าใต้ถ้ำสุเมรุที่ไม่เตะตาแห่งนี้ ถึงกับปรากฏทัศนียภาพที่สามารถทำให้ระดับราชันไม่ว่าคนไหนๆ บ้าคลั่งได้เช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลินสวินรู้สึกได้อย่างฉับไวว่าเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่ตนต้องการจะต้องหาได้จากที่นี่แน่!
สวบ!
จั่นลู่ซิวชิงลงมือก่อนแล้ว เขายังไม่ได้เพลิงมรรคต้นกำเนิดมา ตอนนี้จับจ้องเพลิงมรรคสีม่วงที่แปลงเป็นดาบศึกดวงหนึ่งแล้ว
เพียงแต่เมื่อเขากระโจนขึ้นไปในอากาศ เพิ่งคิดจะเข้าใกล้ภูเขาไฟที่อยู่ห่างออกไป ในห้วงอากาศนั้นพลันปรากฏเงาร่างเปลวเพลิงที่ราวกับมายาร่างหนึ่งขวางทางเขาไว้!
ทุกคนนัยน์ตาหดรัด ในใจสั่นไหว
ในขณะเดียวกันเงาร่างเปลวเพลิงนั้นก็เอ่ยปาก “เพลิงมรรคไม่มอดดับ มหามรรคธำรงนิรันดร์ พวกเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ได้ก็มีคุณสมบัติได้รับเพลิงมรรคไปแล้ว แต่ว่า… ถ้าอยากได้เพลิงมรรค ก็ต้องฝ่าด่านนี้ของพวกเราไปก่อน!”
เสียงว่างเปล่าไม่มีคลื่นอารมณ์
ทันทีที่เสียงเงียบลง เบื้องหลังเงาร่างเปลวเพลิงนี้ก็มีร่างเปลวเพลิงอีกสี่สิบแปดร่างปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
กลิ่นอายของแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งไม่มีที่สิ้นสุด ยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศประหนึ่งเทพสงคราม ทำให้ฟ้าดินแถบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันไร้รูปร่าง
“ให้ตายสิ กะแล้วว่าวาสนาไม่ได้ได้มาง่ายขนาดนี้” เจ้าคางคกหลุดปากด่าทอ
สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขึง
ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่เงาร่างเปลวเพลิงสี่สิบเก้าร่างนี้แผ่ออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันระลอกหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่งยวดแน่ๆ
“ขอเรียนถามว่าสหายยุทธ์เป็นใคร” หลินสวินเอ่ยปากถาม
เขาพินิจพิเคราะห์เงาร่างเปลวเพลิงร่างแล้วร่างเล่า รู้สึกอยู่เลาๆ ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
ดังคาด ครู่ต่อมาเงาร่างเปลเพลิงที่เป็นหัวหน้าก็เอ่ยตอบว่า “พวกข้าจำแลงมาจากกฎระเบียบ ปกปักษ์ที่แห่งนี้ พวกเจ้าแต่ละคนมีโอกาสท้าสู้พวกข้าหนึ่งครั้ง หากไม่อาจฝ่าด่านได้ก็ไม่มีวาสนากับเพลิงมรรคของที่นี่”
ทุกคนเข้าใจในทันทีแล้ว
หากต้องการเข้าใกล้ภูเขาไฟนั่นเพื่อช่วงชิงเพลิงมรรค ก็ต้องเอาชนะเงาร่างเปลวเพลิงที่จำแลงมาจากกฎระเบียบสี่สิบเก้าร่างนี้ให้ได้ก่อน!
“โจมตีเป็นกลุ่มได้ไหม” เจ้าคางคกร้องถาม
เงาร่างเปลวเพลิงนั้นส่งเสียงเฉยชาว่างเปล่าออกมา “ถ้าเช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็จะถูกขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนล้อมโจมตี”
เฮือก!
ทุกคนสูดหายใจหนาวเยือกน หากทุกคนถูกขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนล้อมโจมตี คิดจะชนะนั่นต้องเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งแน่
เจ้าคางคกยิ้มอักอ่วน “โธ่ อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังสิ ข้าแค่พูดเล่น”
ขุนพลวิญญาณเพลิงทุกคนสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เมินเจ้าคางคกไปตรงๆ
“ข้าสู้ก่อนแล้วกัน!”
จั่นลู่ซิวทนไม่ไหวแล้ว เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกทวนใหญ่สีดำเล่มหนึ่งออกมา อานุภาพน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายไปทั้งร่าง
ตูม!
เขาเหยียบย่างไปในห้วงอากาศแล้วพุ่งกระโจนออกไป ทวนใหญ่ตลบม้วนมวลอากาศ ซัดคลื่นนับพันชั้นขึ้นมา
ในขณะเดียวกันขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกก็เคลื่อนไหวแล้ว รวดเร็วอัศจรรย์ เรียกกระบี่ศึกเปลวเพลิงเล่มหนึ่งออกมาต้านเขา
ที่ทำให้หลินสวินไหวหวั่นก็คือ ศักยภาพของขุนพลวิญญาณเพลิงนี้กลับไม่ด้อยกว่ามกุฎราชัน ดูน่าเหลือเชื่อถึงที่สุด
สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสงบใจก็คือ ขุนพลวิญญาณเพลิงคนอื่นๆ ล้วนยืนอย่างเฉยเมย ไม่ได้ร่วมลงมือด้วย
เห็นได้ชัดว่าหากไปฝ่าด่านคนเดียว ขอเพียงเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนนี้ได้ทีละคน ก็สามารถไปชิงเพลิงมรรคที่พึงใจหน้าภูเขาไฟลูกนั้นได้อย่างราบรื่น!
ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่า หากคิดจะเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงที่มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่ามกุฎราชันเหล่านั้น อันตรายกับแรงกดดันที่จะต้องเผชิญนั้นไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่แบบธรรมดา!
——