Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 928 คุณท่านเหย้
เย่เซิ่งเทียนบ่นพึมพำอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าเหย้ซูหลิงจะเป็นบุคคลตัวอันตรายคนหนึ่งในตระกูลเหย้
แต่ว่า ก็มีเพียงแต่ผู้ที่เป็นตัวอันตรายแบบนี้เท่านั้น ที่มักจะทำเรื่องอะไรที่ผิดแปลกไปจากทั่วไป
เหย้ซูหลิงยกมือขึ้นเพื่อขับไล่คนกลุ่มหนึ่งไป แล้วก็พาเย่เซิ่งเทียนเดินเข้ามาในบริเวณส่วนลึกของตระกูลเหย้
เดินบนเส้นทางที่ปูด้วยก้อนหินทะลุผ่านป่าไผ่ไป แล้วก็มาถึงลานกว้างที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ภายในลานกว้างนี้ มีบ้านหินที่เรียบง่ายอยู่หลายหลัง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคฤหาสน์หลังใหญ่ด้านนอกนั้นแล้ว ช่างแตกต่างกันอย่างกับคนละโลกเลย
ด้านนอกลานกว้างมีสวนผัก และมีชายชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงคนหนึ่งกำลังรดน้ำผักอยู่
“คุณปู่ ฉันพาเขามาแล้ว”
เหย้ซูหลิงเดินเข้ามาหาอย่างลิงโลด แล้วประคองไปที่ชายชราผู้นั้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายชราผู้นี้ เธอเองก็เหมือนกับสาวน้อย ที่ไม่มีท่าทางของนางปีศาจแต่อย่างใด
เย่เซิ่งเทียนคิดไม่ถึงว่า นางปีศาจอย่างเหย้ซูหลิงนี้ จะมีลักษณะท่าทางในแบบสาวน้อยด้วย
ทว่าความจริงแล้วทุกคนต่างก็มีลักษณะท่าทางมากมายหลายแบบ
คุณท่านเหย้ลุกยืนขึ้นอย่างโอนไปเอนมา แล้วมองสังเกตไปที่เย่เซิ่งเทียน และพูดขึ้นว่า: “โอ้ว? นี่ก็คือไอ้หนุ่มของตระกูลเย่นั้นเหรอ? ลูกชายของหมิงยู่? นี่ร่ำเรียนฝึกฝน ของตระกูลเหย้สำเร็จแล้วใช่ไหม? ”
เย่เซิ่งเทียนนวดคลึงไปบนใบหน้าเล็กน้อย เพื่อกลับคืนสู่สภาพใบหน้าเดิม ยกมือกำหมัดขึ้นและพูดว่า: “ฉันเย่เซิ่งเทียน กราบคารวะคุณท่านเหย้”
คุณท่านเหย้พยักหน้าและพูดว่า: “ไม่เลว มีลักษณะท่าทางที่สง่างามโดดเด่นไม่น้อย หลิงเอ๋อร์ได้พูดคุยกับนายบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ? ”
เย่เซิ่งเทียนพยักหน้า: “พูดคุยกันแล้ว”
คุณท่านเหย้พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างตรงประเด็น และไม่อ้อมค้อม
คุณท่านเหย้ชี้ไปทางโต๊ะหินเก้าอี้หินที่วางอยู่ด้านข้าง และพูดว่า: “นั่งลงก่อนแล้วพวกเราค่อย ๆ พูดคุยกัน อยู่ที่นี่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาแอบฟัง”
เย่เซิ่งเทียนประคองตัวคุณท่านเหย้นั่งลงแล้ว ตนเองจึงนั่งลง
“คุณท่านเหย้จะชี้แนะเรื่องใด? ก็พูดมาได้เลย ฉันจะตั้งใจฟังอย่างดี”
คุณท่านเหย้หัวเราะ และพูดว่า: “ไม่ถึงขนาดชี้แนะหรอก พวกเราก็แค่ร่วมมือกันเท่านั้น พูดตามจริง เวลานี้พวกเราตระกูลเหย้ถือว่าไม่เลวร้ายนัก สรวงสวรรค์เองก็ไม่ได้กระทำการใดต่อตระกูลเหย้ของพวกเรา แล้วทำไมพวกเราจะต้องช่วยเหลือนายด้วย? ทำไมจะต้องละทิ้งทรัพย์สมบัติความร่ำรวยนี้ แล้วไปเผชิญความเสี่ยงกับนายด้วยล่ะ? ”
เย่เซิ่งเทียนถึงกับตกใจ จึงหันมองไปที่เหย้ซูหลิง
เหย้ซูหลิงก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา
เย่เซิ่งเทียนสงบนิ่งไปชั่วครู่แล้วก็พูดขึ้นว่า: “คุณท่านเหย้มีอะไรก็พูดตามตรงเลย ตอนนี้ฉันเองก็ไม่สามารถจะให้คำมั่นสัญญาอะไรที่แน่ชัดได้ ต่อให้ฉันสัญญา ทางคุณท่านเหย้เองก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน”
นี่คือเรื่องปกติทั่วไป
ตระกูลเหย้ในขณะนี้ เพียงแค่ไม่ไปสร้างปัญหาความวุ่นวายกับสรวงสวรรค์ พวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลลี้ลับ ที่มีทรัพย์สมบัติมากมายให้เสวยสุขอย่างไม่รู้จบ
หากว่าช่วยเหลือเขาไปต่อกรกับสรวงสวรรค์แล้ว สำหรับตระกูลเหย้เองนั้น ก็ถือว่าไม่เป็นผลดีอะไรเลย
เขาในขณะนี้ ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่เพียงพอจะให้ตระกูลเหย้ต้องลงทุนลงแรงกับเขาด้วย
“ยังถือว่าซื่อสัตย์จริงใจ”
คุณท่านเหย้ยกแก้วน้ำชาขึ้นแล้วก็ดื่มไปหนึ่งคำ จากนั้นดวงตาสองข้างที่ขุ่นมัวก็ประกายลำแสงสองเส้นออกมา พร้อมกับจ้องไปที่เย่เซิ่งเทียนและพูดว่า: “เลือดเทพของเผ่าซวนหยวนตื่นภวังค์แล้วสินะ? ”
เย่เซิ่งเทียนระมัดระวังตัวขึ้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนจะสามารถมองทะลุตนเองได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราผู้นี้ ตนเองก็เหมือนกับถูกปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่า ไม่หลงเหลือความลับอะไรเลย
ดังนั้น เขาก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป จึงพูดขึ้นว่า: “ถูกต้อง เลือดเทพของเผ่าซวนหยวนตื่นภวังค์แล้วครั้งหนึ่ง ส่วนเลือดประหลาดตระกูลเย่ตื่นตัวขึ้นมาแล้วสองครั้ง”
คุณท่านเหย้พยักหน้าและพูดว่า: “นี่ก็คุ้มค่าต่อการลงทุนลงแรงของตระกูลเหย้แล้ว แผนการของหลิงเอ๋อร์นั้นก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับฉันมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก บนโลกใบนี้ไม่มีแผนการใดที่จะสมบูรณ์แบบ เพียงแค่ดูกันว่าแผนการของใครที่จะเกิดความผิดพลาดได้น้อยกว่า ใต้หล้านี้ สุดท้ายก็ต้องตกเป็นของวัยรุ่นอย่างพวกนาย ฉันไม่คัดค้านว่าพวกนายจะทำอะไร และก็จะไม่แทรกแซงแผนการของพวกนายด้วย เพียงแต่……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงักลง
เย่เซิ่งเทียนสับสนงุนงงไปหมด ชายชราผู้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?