ฝ่ามือหนึ่ง อานุภาพทรงพลังเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม ทำให้เกิดเสียงอึงอลระลอกหนึ่ง
หากหลินสวินเป็นคนธรรมดาที่ไม่ผ่านการฝึกปราณมาจริงๆ ฝ่ามือนี้ตบลงไปไม่ตายก็สาหัส
แต่หลินสวิน แน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดา
ปัง!
ครู่ต่อมาฝ่ามือนี้ก็ร่วงลง แต่กลับตบลงบนใบหน้าของผู้คุ้มกันคนนั้นเสียเอง อีกทั้งพลังก็เปลี่ยนไปจนน่ากลัวอย่างที่สุด
ทั้งศีรษะของผู้คุ้มกันถูกตัวเขาเองตบจนแหลกละเอียด!
ภาพนี้ดูแล้วแปลกประหลาดอย่างที่สุด ความรู้สึกนั่นเหมือนตบตัวเองจนตายในฝ่ามือเดียว นองเลือดน่าอนาถ
ผู้คุ้มกันคนอื่นล้วนตื่นตะลึง เหมือนยากจะเชื่อ หรือไม่ก็สงสัยว่าตนตาฝาดไป
แต่ตอนนี้หลินสวินได้เดินไปทางประตูใหญ่แล้ว
“หยุด!”
เสียงชิ้งดังขึ้นคราหนึ่ง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งชักดาบข้างตัวฟันลงไปอย่างเดือดดาล
นี่เป็นการตอบสนองโดยจิตสำนึก
ฟุ่บ!
แต่ครู่ต่อมาดาบนั่นพลิกกลับแล้วแทงเข้าลำคอของผู้คุ้มกันคนนั้น เลือดสดพุ่งออกมาราวกับน้ำตก
ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทางเหมือนเห็นผี ถูกภาพอันนองเลือดนี้ซัดสะเทือน
และตอนนี้หลินสวินก็ก้าวเข้าไปในประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหวังแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยหันหลังกลับเลยแม้แต่แวบเดียว
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นช่างสมกับที่เป็นคนคุ้มกันมือฉมังของตระกูลหวัง หลังจากตระหนักได้ถึงความผิดปกติก็ส่งเสียงตะโกน เตือนว่ามีศัตรูบุกรุก
แต่ตอนที่พวกเขาอ้าปากหมายจะตะโกน ก็รู้สึกเพียงว่าในหัวมีเสียงวิ้งดังขึ้นคราหนึ่ง ราวกับถูกฟ้าผ่า
ครู่ต่อมาหน้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหวัง ศพล้มเกลื่อนพื้นกระจัดกระจาย ต่างเบิกตาโพลงหยุดหายใจ ร่างกายแม้จะครบถ้วนสมบูรณ์ จิตวิญญาณกลับถูกบดขยี้เป็นฝุ่นผงโดยพร้อมเพรียงกัน
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยลงมือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงขั้นไม่เคยหันกลับไปมองแม้สักครั้ง
แต่ภาพการตายแปลกประหลาดแต่ละภาพกลับทำให้เสี่ยวเฉ่าที่อยู่ห่างออกไปตกใจจนหนังหัวชาวาบ จิตวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
ใช่ว่านางไม่เคยเห็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกปราณ แต่กลับไม่เคยเห็นการฆ่าคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
หลินสวินราวกับเทพแห่งความตายที่มาจากนรก ทุกที่ที่ผ่านล้วนถูกเงามืดแห่งความตายปกคลุม ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!
นี่น่ากลัวเกินไป!
“ไม่มีทาง… เขาไม่มีทางรอดออกไปได้…”
เสี่ยวเฉ่าขวัญหนีดีฝ่อ นางก้าวเท้าไปตามสัญชาตญาณ พุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหวังอย่างโซซัดโซเซ
……
คฤหาสน์ตระกูลหวังในวันนี้แขกผู้มีเกียรติมากันมากมายเต็มงาน คึกคักอย่างที่สุด เต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี
ข้ารับใช้ สาวใช้เดินขวักไขว่อยู่ในพื้นที่ต่างกัน รับรองแขกเหรื่อที่มาเยือนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
และมีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งกระจายอยู่ภายใน ห่างกันห้าก้าวสิบก้าว วางกำลังอย่างแน่นหนา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ
“เจ้าเป็นใคร ใครให้เจ้าเข้ามา”
เห็นคนหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าอย่างหลินสวินเดินเข้ามา ดึงดูดสายตาระแวงจำนวนหนึ่งได้ทันที
น่าเสียดาย ไม่รอให้พวกเขาตอบสนองแต่ละคนก็ทรุดลงพื้น ตายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
หากมองลงมาจากท้องฟ้าก็จะสามารถมองเห็นว่า บริเวณที่หลินสวินเดินไป ข้ารับใช้และผู้คุ้มกันตระกูลหวังแต่ละคนล้วนล้มลงราวกับหญ้าที่ถูกตัด
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครทันส่งเสียงเตือน!
ตอนที่เสี่ยวเฉ่าเดินตามฝีเท้าของหลินสวินเข้าไป ระหว่างทางเงียบสงัดและเย็นยะเยือก เห็นเพียงศพมากมายที่นอนขวางอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ในใจนางบีบรัดขึ้นมา ริมฝีปากซีดขาว จิตใจสั่นสะท้านเพราะความตระหนก ไม่กล้าเชื่อและไม่สามารถเชื่อได้
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่เห็นเลือด ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้อง ไม่เห็นการปะทะดุเดือด ก็มีคนตายอย่างไร้สุ้มเสียงมากขนาดนี้แล้วหรือ
นี่ยังใช่ตระกูลหวังที่ถูกมองว่าเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งของเมืองนครหยก มีอำนาจล้นฟ้าที่นางรู้จักอยู่หรือไม่
ไม่นานเสียงหัวเราะร่าเริงก็ดังมาแต่ไกล
เสี่ยวเฉ่าเพิ่งจะพบว่ามาถึงใจกลางของตระกูลหวังโดยไม่รู้ตัว บริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกลนักก็คือ ‘โถงรับแขก’
ตอนนี้ที่ตรงนั้นโคมไฟสว่างไสว เสียงพูดคุยหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย
เห็นได้ชัดว่าเหล่าคนใหญ่คนโตที่รวมตัวกันอยู่ในโถงรับแขกยังไม่สังเกตเห็นว่า มีบุคคลที่ประหนึ่งเทพแห่งความตายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!
นี่ทำให้เสี่ยวเฉ่าเย็นเยียบไปทั้งตัวอย่างพูดไม่ออก
ตระกูลหวังมียอดฝีมือมากมายเท่าไร ยามคุ้มกันหนาแน่นเพียงใด แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินบุกรุกราวกับสถานที่ที่ไม่มีคน!
นี่น่ากลัวเกินไป และเหลือเชื่อเกินไป!
……
โถงรับแขก
ผู้นำตระกูลหวังหวังเทียนสิงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ใบหน้าแดงฝาดประสาคนสุขภาพจิตดี เจือรอยยิ้มภาคภูมิ
ในห้องโถงเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโตซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองนครหยก วันนี้ล้วนมารวมตัวกันที่นี่อย่างพร้อมเพรียง
บนใบหน้าทุกคนล้วนเผยรอยยิ้มแฝงความถ่อมตัว ถึงขั้นเจือแววประจบเอาใจ
นี่ทำให้หวังเทียนสิงสบายใจอย่างมาก
สิบกว่าปีที่แล้วตระกูลหวังของเขายังเป็นเพียงแค่ขุมอำนาจธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่งในเมืองเท่านั้น ตอนนั้นเขาหวังเทียนสิงยามพบหน้าเหล่าคนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่พวกนั้น ทำได้เพียงแค่แสร้งถ่อมตัว ยิ้มประจบเอาใจคอยฟังพวกเขาพูด
แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว!
เมืองนครหยกในตอนนี้ ขุมอำนาจตระกูลหวังของเขาสามารถบดบังท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียวแล้ว!
จุดพลิกผันของทุกสิ่ง อยู่ที่บุตรสาวของเขาแต่งงานกับลูกเขยที่ดี
คิดถึงตรงนี้สายตาของหวังเทียนสิงเหลือบไปไกลๆ ตรงนั้นมีชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดคลุมหยก สวมเกี้ยวประดับขนนก คาดเข็มขัดมังกรท่าทางสง่างามคนหนึ่ง
หวงฝู่เซ่าอวี่!
ศิษย์สายในแกนหลักแห่งสำนักเมฆาเขียว ด้วยพรสวรรค์ฝึกปราณที่น่าทึ่งไร้เทียมทาน ตอนนี้ถูกกำหนดให้เป็นผู้สืบทอดต่อไปของสำนักเมฆาเขียวแล้ว!
พูดได้ว่าเพราะหวงฝู่เซ่าอวี่ จึงทำให้ตระกูลหวังของเขามีอำนาจอิทธิพลและฐานะในวันนี้
‘อีกไม่กี่ปี พอเซ่าอวี่ครองสำนักเมฆาเขียว ตระกูลหวังของข้าก็สามารถแผ่ขยายอาณาเขตได้แล้ว…’
หวังเทียนสิงคิดอย่างรุ่มร้อน เมืองนครหยกไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้แล้ว!
‘ผู้นำตระกูล เมื่อครู่นี้มีข่าวมาว่าหอสุราในเมืองเกิดเหตุการณ์นองเลือด ตอนนั้นมีลูกหลานขุมอำนาจไม่น้อยถูกฆ่า’
ขณะกำลังคิดอยู่นั่นเอง คนที่ท่าทางดูเหมือนเป็นพ่อบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาสื่อจิตเสียงเบา เล่าเรื่องทั้งหมดรอบหนึ่ง ‘มีคนสงสัยว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลหลิน เพราะคนรุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงตอนนั้นมีเพียงลูกหลานตระกูลหลินที่ไม่ถูกฆ่า’
หวังเทียนสิงขมวดคิ้ว ‘ตระกูลหลินหรือ ล่มสลายจนไม่เหลือซากตั้งนานแล้ว เหตุใดยังมีความสามารถในการทำเช่นนี้อีก’
พ่อบ้านเองก็ท่าทางไม่เข้าใจ สื่อจิตว่า ‘ข้าน้อยเองก็สงสัยมาก ทันทีที่ข่าวออกมาก็ส่งคนไปตรวจสอบทันที แต่จนตอนนี้ยืนยันได้เพียงเรื่องเดียว’
‘เรื่องใด’
‘ตอนที่คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นโดนฆ่า เคยมีคนเห็นกับตาว่านายน้อยหลินสวินที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลินปรากฏตัวนอกหอสุรา’
‘เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าเจ้าโง่นั่นเป็นคนร้ายหรอกนะ’
หวังเทียนสิงหลุดขำออกมาทันที เหมือนได้ยินเรื่องตลกที่สุดในโลก ‘เจ้าสืบต่อไป งานเลี้ยงวันนี้มีความหมาย อย่าทำให้เรื่องนี้รบกวนความสนุกของทุกคน’
พ่อบ้านพยักหน้ารับคำสั่งแล้วออกไป
หวังเทียนสิงจมสู่ภวังค์ความคิด ในเมืองนี้มีใครกล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ฆ่าคุณชายตระกูลใหญ่ทั้งกลุ่ม นอกจากนี้ยังไว้ชีวิตเฉพาะลูกหลานตระกูลหลิน
หรือเป็นฝีมือของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินจริงๆ
ในจิตใต้สำนึกเขามองข้ามหลินสวินไปโดยตรง เจ้าโง่เช่นนั้น ในมือไร้ซึ่งพลัง จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ในเวลาเดียวกันหวงฝู่เซ่าอวี่เองก็คุยกับหวังจื่อหลวนภรรยาสาวที่อยู่ข้างๆ
“จัดการเรื่องราวได้เป็นอย่างไรบ้าง”
“เรื่องอะไร” หวังจื่อหลวนตะลึง
“เจ้าลืมแล้วหรือ” หวงฝู่เซ่าอวี่ขมวดคิ้ว
หวังจื่อหลวนใคร่ครวญคร่าวๆ ถึงนึกขึ้นได้ พลันอดยิ้มเอ่ยไม่ได้ว่า “เรื่องเล็กแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาเป็นกังวล หากไม่มีอะไรผิดพลาด ชาตินี้เจ้าโง่นั่นจะไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว”
หวงฝู่เซ่าอวี่ดูเหมือนไม่พอใจนัก พูดว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้รับข่าวว่า เมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้วในเมืองเกิดเรื่องใหญ่ฮือฮาเรื่องหนึ่ง ลูกหลานตระกูลใหญ่ในเมืองหลายคนถูกฆ่า และมีคนเห็นกับตาว่าเจ้าโง่นั่นปรากฏตัวนอกหอสุรา”
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
หวังจื่อหลวนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านคงไม่ได้สงสัยว่าเจ้าโง่นั่นเป็นคนฆ่าคุณชายเหล่านั้นกระมัง ข้ารู้ดีว่าเจ้าหมอนี่ไม่เคยฝึกปกราณด้วยซ้ำ”
หวงฝู่เซ่าอวี่ขมวดคิ้วพูด “แต่เขาไม่ได้ตาย ทั้งยังปรากฏตัวในเมือง ไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงอย่างที่เจ้าพูด”
เมื่อหวงฝู่เซ่าอวี่ไม่พอใจทำให้หวังจื่อหลวนลนลานเล็กน้อย พลันเรียกสาวใช้ข้างกายคนหนึ่งมาถาม “บ่าวต้อยต่ำอย่างเสี่ยวเฉ่าเล่า กลับมาหรือยัง”
สาวใช้คนนั้นส่ายหน้า “ยังเจ้าค่ะ”
หวังจื่อหลวนอึ้งไป ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วกลับยังไม่กลับมา หรือจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ
“เซ่าอวี่ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปสืบด้วยตัวเอง”
หวังจื่อหลวนลุกขึ้น เดินออกจากห้องโถงอย่างเร่งรีบ
นางลอบกัดฟัน เสี่ยวเฉ่านางคนไร้ประโยชน์ เรื่องเล็กเรื่องเดียวยังทำไม่ได้ ยังอยากได้ความเชื่อใจจากข้าหรือ ฝันไปเถอะ!
นางเดือดดาล ตอนที่เดินออกจากโถงใหญ่เกือบชนกับเงาร่างที่เดินเข้ามา
“เจ้าตาบอดหรือ ไสหัวไป!”
นางอดด่าว่าไม่ได้
ตอนที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มในชุดขาวตัวบางขวางทางอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะถอยเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้นางยิ่งโมโห
“หวังจื่อหลวน?”
ชายหนุ่มชุดขาวพูดพร้อมสีหน้าราบเรียบเหมือนต้องการยืนยัน
ถึงอย่างไรเขาเพียงแค่เคยเจออีกฝ่ายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หวังจื่อหลวนในตอนนั้นเป็นเพียงแค่เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่เท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าเรียกชื่อข้าตรงๆ ผู้คุ้มกันล่ะ ตายหมดแล้วหรือ ให้คนแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”
หวังจื่อหลวนขมวดคิ้ว เดือดดาลยกใหญ่ หลายปีมานี้ในฐานะฮูหยินของหวงฝู่เซ่าอวี่ นางใช้ชีวิตอย่างทรงเกียรติ เดินไปถึงไหนก็ถูกเคารพและประจบสอพลอ
มีใครกล้าเรียกชื่อนางตรงๆ เช่นนี้บ้าง
ชายหนุ่มชุดขาวสีหน้านิ่งสงบ มองสาวงามที่เดือดดาลตรงหน้า หากไม่เห็นกับตาเขาก็ไม่กล้ามั่นใจนัก ว่านี่คือผู้หญิงที่ตอนนั้นวิ่งมาอยู่ต่อหน้าตนและถอนหมั้นตนด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
แม้ว่ารูปลักษณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่หลายปีผ่านไป อุปนิสัยของอีกฝ่ายเหมือนจะยิ่งกำเริบเสิบสานกว่าเดิม
“ฮูหยิน เขา… เขา… คือหลินสวิน”
ห่างออกไปเสี่ยวเฉ่าปรากฏตัวแล้ว พูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก
“หลินสวินอะไร…”
พูดถึงตรงนี้หวังจื่อหลวนก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เบิกตาโพลง “เจ้าบอกว่าเขา… เขาคือหลินสวินหรือ”
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี ความเปลี่ยนแปลงในรูปลักษณ์ของหลินสวินทำให้นางจำไม่ได้
หลังจากตกตะลึงนางก็พลันถามโดยจิตใต้สำนึก “เจ้าโง่นี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เสี่ยวเฉ่าเจ้าเป็นคนพาเขามาใช่หรือไม่ บอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่าให้ข้าเห็นเขาอีกตลอดไป!”
พูดถึงตรงนี้นางโกรธจนเกินควบคุมแล้ว เสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งน้ำเสียงยังแหลมเล็กเพราะความเดือดดาล
ทันใดนั้นในโถงรับแขกด้านหลังนาง บรรยากาศที่เดิมทีครื้นเครงก็ถูกเสียงร้องของนางรบกวน หลายสายตามองมา
——