“หลินสวิน เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในบรรดาเผ่ามนุษย์จริงๆ เทียบเทียมกับพวกเราได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องสู้กันเพื่อพวกต้นหญ้าไร้ค่าฝูงหนึ่งด้วยเล่า บรรพจารย์อสูรมารชื่นชมเจ้ามาก หากพวกเราร่วมมือกันต้องคุมฟ้าดินแถบนี้ได้โดยสมบูรณ์แน่!”
ราชันเถาวัลย์เพลิงเอื้อนเอ่ยแช่มช้า นางประดับศีรษะด้วยเกี้ยวขนนกเพลิง มือถือไม้เท้าอัคคี รูปลักษณ์ท่วงท่าทรงเสน่ห์ แต่กลิ่นอายกลับแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ราชันอสูรมาร
ไกลออกไปผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิต่างขุ่นเคืองเข้าแล้ว พวกเขาถึงกับถูกอสูรมารตนหนึ่งมองเป็นต้นหญ้าไร้ค่า จะไม่โกรธได้อย่างไร
“ในสายตาพวกเจ้าเผ่ามนุษย์เหมือนต้นหญ้าไร้ค่า แต่ไม่รู้หรือว่าในสายตาของข้า พวกเจ้าต่างอะไรกับต้นหญ้าไร้ราคา”
หลินสวินสีหน้าเย็นชา
สมัยอยู่ที่แดนมกุฎเขาเคยฆ่าผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไร ยามอยู่ที่ดินแดนรกร้างโบราณยิ่งเคยปลิดชีพอริยะกับมือด้วยซ้ำ
ราชันอสูรมารเหล่านี้ยังกล้ามาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าเขา จะน่าขันเกินไปแล้ว
“เผ่ามนุษย์เป็นพวกต่ำช้าไม่รู้เรื่องรู้ราวดังคาด ยังกล้ามองพวกเราเป็นต้นหญ้าไร้ค่า ไม่คุยโอ่เกินไปหน่อยหรือ”
ราชันเจียวสมุทรสีหน้าอึมครึม
ราชันอสูรมารเช่นนี้ต่างมีพลังพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ สามารถควบคุมลมฝน พลิกแม่น้ำคว่ำทะเลได้ง่ายดาย พลังต่อสู้น่ากลัวถึงที่สุด
สำหรับผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิ ราชันอสูรมารพวกนี้ทำให้ผู้คนครั่นคร้ามได้จริง แต่สำหรับหลินสวินแล้วก็ดูอ่อนหัดถึงที่สุด
“พวกปลาซิวปลาสร้อย ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำยังกล้าวิจารณ์ใหญ่โต ไม่รู้สึกว่าน่าขันหรือ”
หลินสวินระบายยิ้มเย้ยหยัน เอ่ยเด็ดขาดว่า “อย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย ให้ราชันอาภรณ์ดำกับราชันพ่อมดพวกนั้นปรากฏตัวเถอะ”
“อวดดี!”
ราชันอสูรมารเหล่านั้นล้วนกราดเกรี้ยว ดวงตาปรากฏจิตสังหาร ถูกยั่วให้โมโหแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินยังกล้ากำเริบเสิบสานและแข็งกร้าวเช่นนี้ นี่ทำให้พวกเขาต่างเสียหน้าอยู่บ้าง
“อวดดีหรือ”
หลินสวินยิ้มหยัน ก้าวเท้ายาวไปในอากาศ แต่ละก้าวที่เหยียบย่างลงมาทำให้ฟ้าดินไหวสะเทือน “นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่าอย่างไรเรียกว่าพลังที่แท้จริง!”
เงาร่างของหลินสวินว่องไวยิ่งขึ้น แสงมรรคทั้งกายไหลวนประหนึ่งดวงอาทิตย์สีเขียวดวงหนึ่งเคลื่อนตัดฟ้าดิน บดขยี้ฟ้ากว้าง
และฝั่งตรงข้ามเขา
คือราชันอสูรมารทั้งสิ้นสิบหกตน!
นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิง ในจักรวรรดิแห่งนี้แทบไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนไหนกล้าทำเช่นนี้ โดยเฉพาะราชันอสูรมารเหล่านั้นแต่ละตนยังเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา
แต่หลินสวินดันทำเช่นนี้!
ผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดินับไม่ถ้วนกังวลใจขึ้นมา สะท้านเพราะท่วงท่าอาจหาญเหนือโลกาของเขา ทั้งยังเป็นห่วงและหวั่นวิตก
ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าศึกนี้ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะ แต่ภาพที่บุกเข้าไปภาพนี้ต้องประทับอยู่ในใจของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ยากลืมเลือนได้ไปชั่วชีวิต
“ฆ่ามัน!”
แววตาราชันเถาวัลย์เพลิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาหาใดเทียบ
ตูม!
ราชันอสูรมารตนหนึ่งกระโจนออกไป
เขามีหัวเป็นเสือดาวตัวเป็นมนุษย์ ร่างกายราวกับพ่นหลอมทองแดงหล่อเหล็ก สูงหลายจั้งแข็งแรงกำยำถึงที่สุด แบกกระบองสำริดคู่หนึ่งไว้บนหลัง กลิ่นอายดุร้ายยิ่ง
ราชันเสือดาว!
ราชันอสูรมารระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด เคยล้างบางหลายสิบเมืองในจักรวรรดิ ทหารจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือเขายิ่งมีนับไม่ถ้วน
“หลินสวิน ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เงาร่างเขาดุจสายฟ้า ว่องไวราวอสนีแผลงฤทธิ์ แสงประกายไหลวนอยู่บนร่าง รวดเร็วจนน่าตกตะลึง
ความจริงแล้วเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในความเร็วของตนโดยสมบูรณ์ ถึงกล้าชิงเคลื่อนตัวออกไปต่อกรกับหลินสวิน
“ตาย!”
หลินสวินไม่หยุดก้าวเดิน กดนิ้วหนึ่งลงไปลวกๆ
แสงมรรคนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากร่างเขา รวมตัวกันที่หนึ่งดรรชนี สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังดรรชนีอันไพศาลดุจดั่งกาลสารทวสันต์ บดขยี้ห้วงอากาศฝ่าทลายออกไป
ราชันเสือดาวเลือกหลบหนีไปตามจิตใต้สำนึก แต่ภายใต้นิ้วมือที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ราวกาลสารทวสันต์บีบคั้นไปทั่วจักรวาลได้นี้ กลับทำให้เขาไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ ทางหนีทั้งหมดถูกปกคลุมไว้โดยสิ้นเชิง!
ปึง!
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ได้เห็นว่าพอราชันเสือดาวเพิ่งกระโจนออกมาก็ถูกหลินสวินกดนิ้วหนึ่งลงไปบนร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ระเบิดกระจุยฉับพลันเหมือนเศษขนม
หนึ่งดรรชนี ทำลายราชันเสือดาว!
เหล่าราชันอสูรมารต่างสะท้านในใจ นัยน์ตาหดรัด แม้แต่ราชันเถาวัลย์เพลิงยังเผยแววหวาดหวั่น พวกเขานึกถึงผลการต่อสู้ของหลินสวินในอดีต ต่างรู้สึกไม่แปลกใจที่เป็นเช่นนี้
“เข้าไปพร้อมกัน!”
ราชันอสูรมารหลายตนตะโกนแล้วกระโจนออกมา
ได้แก่ราชันหมีทอง ราชันเหยี่ยววาโย ราชันเจียวสมุทร แต่ละตนต่างทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี ไม่ดูแคลนแต่อย่างใด
“วายุพัดโบก!”
ราชันเหยี่ยววาโยตะโกนลั่น ลมพายุสีม่วงที่แปรสภาพมาจากพลังกฎเกณฑ์ลูกหนึ่งคำรามกลางฟ้าดินเหมือนมังกรฟ้าตัวหนึ่ง
“ฆ่า!”
ราชันหมีทองตะคอก พลันแปลงร่างเป็นเขาสูงพันจั้งประหนึ่งค้ำฟ้า แขนใหญ่หนาราวเสาหินโบกสะบัด กระแทกหมัดมาที่หลินสวิน
มองจากไกลๆ นั่นมันหมัดที่ไหน อย่างกับภูเขาสีทองลูกใหญ่ลูกหนึ่งกดทับลงมาชัดๆ
สวบ!
ด้านราชันเจียวสมุทรเงาร่างไหววูบ ถือทวนวงเดือนสำริดเล่มหนึ่งพุ่งไปยังหลินสวินด้วยเหนือใคร ไร้ผู้ใดต้านทานได้
นอกจากสามตนนี้ ราชันอสูรมารตนอื่นก็ลงมือพร้อมๆ กันไปด้วย
ชั่วพริบตาฟ้าดินแห่งนี้อับแสง กลิ่นอายน่ากริ่งเกรงราวกับวันโลกาวินาศมาเยือน ภาพเหล่านั้นสามารถทำให้ผู้คนในโลกสิ้นหวังได้
“เฉือน!”
แววตาหลินสวินเย็นยะเยือก ผมดำปลิวไสว เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีรอบด้านเช่นนี้ ปราณกระบี่เจิดจ้าเฉียบคมสายแล้วสายเล่าก็เคลื่อนออกมาจากภายในร่างเขาทันที
ยามปราณกระบี่แต่ละสายเคลื่อนออกมาก็ทำให้ฟ้าดินสั่นระรัว เสียงครวญใสราวมังกรครวญสะเทือนจักรวาล
เมื่อปราณกระบี่หนาแน่นปรากฏขึ้นพร้อมกัน กลางฟ้าดินมีแต่ปราณกระบี่ไพศาล ประกายคมไม่มีที่สิ้นสุด
ครืน!
ลมพายุที่ดุจดั่งมังกรฟ้าสีม่วงถูกปราณกระบี่สายหนึ่งฟันจนละเอียด
พลังหมัดมหึมาที่ตกลงมาจากฟ้าถูกแสงกระบี่แทงทะลุจากล่างขึ้นบนอย่างราบคาบ ทุกกระเบียดระเบิดออก
ด้านราชันเจียวสมุทรที่ถือทวนวงเดือนมาสังหาร เพียงรู้สึกว่าแขนสั่นไหวอย่างรุนแรง ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งตวัดใส่จนกระเด็นถอยหลังไป
ปราณกระบี่นั้นเหมือนแข็งแกร่งเกินต้านชัดๆ!
“อ๊าก…!”
“ไม่!”
“เป็นไปได้อย่างไร”
เสียงโหยหวนเสียงแล้วเสียงเล่าแว่วมาจากห้วงอากาศ
ที่ประสบเคราะห์ก่อนคือราชันเหยี่ยววาโยซึ่งถูกปราณกระบี่สิบกว่าสายตัดสลับกันทั้งแนวนอนแนวตั้ง ร่างกายถูกกรีดเฉือนเป็นก้อนเลือดนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา
จากนั้นก็เป็นราชันเจียวสมุทรที่ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งแทงทะลุทรวงอก ตรึงแน่นอยู่กลางอากาศ ดวงใจระเบิดแหลก จิตวิญญาณสลายเป็นฝุ่นผง
ส่วนร่างสูงหลายพันจั้งของราชันหมีทอง กลับเหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะรูรั่ว ปล่อยลมออกมาพันจั้งในคราวเดียว เมื่อพินิจดูแขนขาทั้งสี่ของเขาถึงกับถูกฟันออกทุกท่อน!
ราชันอสูรมารตนอื่นๆ ที่กำลังพุ่งมาจากที่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ต่างตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ด้วยถูกทำให้ตระหนกตกใจ
ต่อให้โง่เขลาเพียงไหน พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าหลินสวินมีความสามารถเพียงพอจะกำราบพวกเขาได้!
สวบ!
ก็ในตอนนี้เอง ราชันเถาวัลย์เพลิงออกโจมตีแล้ว
นางชี้ไม้เท้าเพลิงในมือไปในห้วงอากาศครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นแสงเพลิงสายหนึ่งก็เคลื่อนมาแล้วแปลงเป็นโซ่เทพเปลวเพลิงเต็มฟ้า แน่นขนัดราวกับน้ำตกที่เทลงมาจากสวรรค์
ฉับพลันนั้น เงาร่างของหลินสวินก็ติดอยู่ในกรงที่สร้างขึ้นจากโซ่เทพเปลวเพลิงพันกันหลังหนึ่ง
วู้ม!
ขณะเดียวกันเกี้ยวขนนกเพลิงที่หัวของราชันเถาวัลย์เพลิงพุ่งออกมา มันหมุนคว้างยิงมีดบินเปลวเพลิงเจิดจ้าสายแล้วสายเล่า ล้วนจำแลงมาจากกฎเกณฑ์ธาตุไฟอันน่ากลัว แหลมคมพิสดารหาใดเทียบ
“ระวัง!” จ้าวจิ่งเซวียนตกใจ
ก็พบว่าหลินสวินที่ถูกขังอยู่ในกรงเปลวเพลิงเหยียบลงไปหนึ่งฝ่าเท้า แสงมรรคน่ากริ่งเกรงแผ่ออกมาจากร่างของเขาประหนึ่งภูเขาถล่มทะเลคำราม
ตูม!
กรงเปลวเพลิงนั้นพลันระเบิดออกเสียงสะเทือน
หลินสวินตบฝ่ามือตามออกมาติดๆ
แสงมรรคสีเขียวอ่อนเปล่งประกายรวมตัวกันเป็นประทับฝ่ามือหนึ่ง ดูราวกับหินโม่มหึมาลูกหนึ่ง บีบอัดให้ห้วงอากาศยุบตัว บดขยี้มีดบินเปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าให้กลายเป็นจุณ
ตูม!
ท่ามกลางเสียงดังลั่นน่าหวาดหวั่น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงพูดไม่ออกทุกคู่
ราชันเถาวัลย์เพลิงถูกพลังฝ่ามือดั่งหินโม่ลูกนั้นตบจนกระเด็นถอยออกไปหลายพันจั้ง ผิวหนังทรงเสน่ห์เย้ายวนนั้นแตกระแหงไปทุกกระเบียด เลือดสดๆ หลั่งริน
ฟ้าดินเงียบสงัดไปหมด
แม้แต่ราชันอสูรมารเหล่านั้นยังอกสั่นขวัญแขวน สีหน้าบิดเบี้ยว
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะน่ากลัวปานนี้ ราชันอสูรมารผู้โอ้อวดแสนยานุภาพจองหองถึงที่สุดพวกนั้น เมื่ออยู่ในฝ่ามือเขาก็เหมือนตุ๊กตาดินไร้ค่า อ่อนแอรับการโจมตีไม่ได้ ถูกกำราบไปอย่างง่ายดาย
อย่างราชันเถาวัลย์เพลิงผู้นั้น เป็นถึงราชันอสูรมารกร้าวแกร่งที่ทัดเทียมกับราชันผึ้งขาว มีพลังระดับอมตะเคราะห์ด่านแปด
แต่นั่นแล้วอย่างไร ในเวลาอันสั้นนางก็ถูกหลินสวินตบกระเด็น!
“มาอีก!”
เงาร่างหลินสวินเจิดจ้า สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณถั่งโถมโคจร ทำให้ตัวเขาปกคลุมไปด้วยพลานุภาพผงาดกร้าวเหนือภูผาธารา กลืนกินใต้หล้า
ดุจดั่งเทพมาร!
เขาพุ่งออกไป ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง สะบัดมือหนึ่งครั้ง ปล่อยหมัดหนึ่งหน… เคลื่อนไหวอย่างผ่อนคลาย แต่กลับเจือไปด้วยพลานุภาพกดข่มฟ้าดิน สังหารมวลชนได้
ปึงๆๆ!
แม้ราชันอสูรมารเหล่านั้นต้านทานอย่างเต็มที่ก็ยังถูกสังหารเกลื่อนกลาดดังเดิม ใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ฆ่าตายไปอีกหกเจ็ดตน!
ตอนนี้หลินสวินมีอานุภาพคับฟ้า กดข่มไปทั่วทะเลสาบ
ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิที่อยู่ไกลออกไปต่างสะท้านสะเทือนจนไร้คำพูดไปนานแล้ว ล้วนไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง พวกเขาส่วนมากเพิ่งเคยเห็นหลินสวินลงมือเป็นครั้งแรก
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในสถานการณ์ที่คนหนึ่งคนเผชิญหน้ากับราชันอสูรมารสิบกว่าตนโดยลำพัง หลินสวินกลับเหี้ยมหาญขนาดนี้เหมือนเช่นเคย
“หนี!”
“ไป!”
ราชันอสูรมารที่ยังเหลืออยู่เหล่านั้นต่างขวัญเสีย หนีไปในทะเลสาบวาโยอสนีอย่างร้อนรน
“ฟัน!”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างกายประหนึ่งกลายเป็นดวงอาทิตย์ฉายแสง เจือไปด้วยกลิ่นอายอมตะไม่แตกดับ ธำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
ปราณกระบี่หลากสายพลันทะลวงอากาศขึ้นไป เคลื่อนตัดกลางภูผาธารา
ฟุบ!
ฟุบ!
ฟุบ!
ชั่วดีดนิ้ว ปราณกระบี่ก็ออกไปปลิดชีพราชันอสูรมารที่หนีไปไกลทีละตน ไม่มีใครรอดชีวิต
ต่อให้เป็นพญาอสูรมารที่แข็งกล้าอย่างราชันเถาวัลย์เพลิงก็ไม่อาจโชคดีหนีพ้นไปได้!
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิต่างเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินว่าทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้มีจิตสังหารเต็มแน่น จะไม่เป็นผลดีต่อหลินสวิน พวกเขาทุกคนต่างกังวลใจ ล้วนร่วมกันมาสนับสนุนหลินสวิน
จะคิดได้อย่างไรว่าไม่ต้องให้พวกเขาช่วยสักนิด หลินสวินคนเดียวก็เข่นฆ่าจนราชันอสูรมารเหล่านั้นพ่ายแพ้แตกกระสานซ่านเซ็น ถูกสังหารคาที่!
ภาพนองเลือดนั้นทำให้พวกเขาจิตใจสั่นระรัวขึ้นมา
ใครก็รู้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่ง ทั้งยังน่ากลัวกว่าที่คาดคิดเอาไว้
ราชันอสูรมารประหนึ่งเป็นต้นหญ้าอ่อนแอไร้ค่า ถูกกำจัดไปทีละตนด้วยน้ำมือเขา ใครจะกล้าเชื่อกัน
สวบ!
และตอนนี้เงาร่างหลินสวินได้ลอยละล่อง เคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของทะเลสาบวาโยอสนีแล้ว
การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ราชันอสูรมารอย่างราชันอาภรณ์ดำและราชันผึ้งขาว รวมถึงราชันพ่อมดสิบสามคนยังไม่ปรากฏตัว คราวนี้ในเมื่อได้โอกาสชั้นเลิศเช่นนี้แล้ว หลินสวินจะยั้งมือไว้ได้อย่างไร
“เจ้า…”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
หลินสวินพลันหยุดลง “ทำไมหรือ”
“ระวังตัว!”
คำพูดนับหมื่นพันอยู่ในปาก แต่ก็กลายเป็นเพียงไม่กี่คำนี้
หลินสวินยิ้มกว้าง โบกมือโดยไม่หันหน้ากลับมา “อีกเดี๋ยวข้าก็กลับมา”
——