Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1397 ความแค้นของชีชาน

ตอนที่ 1397 ความแค้นของชีชาน

ชายชุดดำตัวแข็งทื่อ แม้แต่หายใจยังรู้สึกยากลำบาก หัวใจก็สั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้

ปัจจุบันเขาเป็นถึงระดับราชันอย่างแท้จริงคนหนึ่ง แต่ยามนี้เพียงแค่เผชิญหน้ากับสายตาคู่หนึ่งเท่านั้น ถึงกับเกิดความรู้สึกกดดันจนไม่กล้าสบมอง

“ชีชาน?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู ทำให้ชายชุดดำนิ่งงัน อีกฝ่ายรู้จักตนด้วยหรือ

สวบ!

และในยามนี้เงาร่างสายนั้นก็เก็บยานสมบัติ โรยตัวลงมาจากห้วงอากาศอย่างแผ่วเบา ปรากฏตัวต่อหน้าชายชุดดำ

“เป็นเจ้า!”

ชายชุดดำนัยน์ตาหดรัด จำตัวตนของอีกฝ่ายได้ก็อดอึ้งงันไปชั่วขณะไม่ได้ ในหัวสมองนึกถึงภาพตอนที่เคี่ยวกรำในค่ายกระหายเลือดสมัยเด็กขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“จำไม่ผิดจริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลย”

เงาร่างสายนั้นเป็นหลินสวินนั่นเอง แม้แต่เขายังคิดไม่ถึงว่าจะได้พบอีกฝ่ายในเมืองที่เหมือนซากปรักหักพังเช่นนี้

วันแรกที่หลินสวินเข้าไปในค่ายกระหายเลือดในปีนั้น ถูกแบ่งกลุ่มเข้ารับการสอนโดยครูฝึกเสี่ยวเคอที่ค่ายหมายเลข 39

และเป็นตอนนั้นที่หลินสวินได้รู้จักกับพวกหนิงเหมิง สืออวี่ หลี่ตู๋สิง เย่เสี่ยวชี กงหมิง ไป๋หลิงซี

ตอนนั้นชีชานก็เป็นศิษย์ในค่ายหมายเลข 39 ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ความสัมพันธ์กับหลินสวินเรียกไม่ได้ว่าดีนัก ลอบแข่งขันและขัดคอกันอยู่ตลอด

เวลาหลายปีผ่านไป เรื่องกระทบกระทั่งเล็กน้อยในประสบการณ์วัยเยาว์ ยามนี้กลายเป็นความทรงจำอย่างหนึ่งไปแล้ว

“เป็นเจ้าจริงๆ…”

ชีชานเผยแววยินดี เขาก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว การได้พบกับหลินสวินในตอนนี้ทำให้เขาดีใจไม่สิ้น

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

หลินสวินเอ่ยถาม ขณะพูดสายตาของเขากวาดมองไปยังกลุ่มชายหญิงที่อยู่ด้านข้างชีชาน ตระหนักได้ในทันทีว่าชายหนุ่มหญิงสาวพวกนี้ล้วนมีกลิ่นอายเป็นเอกลักษณ์ เห็นได้ชัดว่ามาจากค่ายกระหายเลือด

“แน่นอนว่ามาฆ่าอสูรมาร”

ชีชานพูดไปพลางก็เอ่ยแนะนำแก่หลินสวิน “เจ้าดูสิ พวกนี้ล้วนเป็นศิษย์ที่เข้ามาในค่ายกระหายเลือดเมื่อสามปีก่อน เมื่อเทียบกับพวกเราในปีนั้น พลังและพรสวรรค์ของพวกเขาจะกร้าวแกร่งขึ้นไม่น้อย”

หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้เจ้ารับตำแหน่งในค่ายกระหายเลือดหรือ”

ชีชานพยักหน้า ยิ้มพลางผินหน้าไปพูดกับชายหญิงเหล่านั้น “มา ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้า ท่านนี้คือหลินสวินผู้นำเขาชำระจิตที่ชื่อเสียงโด่งดัง! แต่พวกเจ้าคงจะไม่รู้ ว่าปีนั้นเขาเป็นศิษย์คนหนึ่งที่มีคะแนนทดสอบยอดเยี่ยมที่สุดในค่ายกระหายเลือด”

หลินสวิน!

ชายหญิงเหล่านั้นต่างใจสะท้าน นัยน์ตาทอประกาย แต่ละคนเผยสีหน้าคลั่งไคล้ศรัทธา

ตอนนี้หลินสวินเป็นบุคคลทรงอิทธิพลซึ่งเปล่งประกายที่สุดในจักรวรรดิ เหมือนตำนานคนหนึ่งก็ไม่ปาน มีหรือพวกเขาจะไม่รู้จัก

เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าครูฝึกของตนกับหลินสวินจะถึงกับเป็นสหายกัน!

เรื่องนี้ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกเหนือคาดยิ่งนัก

ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้ ชีชานไม่เคยบอกมาก่อนว่าเขากับคุณชายหลินที่ชื่อเสียงเกริกก้องจักรวรรดิคนนี้เป็นคนรู้จักกัน

“คารวะผู้อาวุโส”

ชายหญิงเหล่านั้นต่างพากันโค้งคารวะ

“ของเล่นพวกนี้คิดเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับการพบหน้ากัน รับไว้เถอะ”

หลินสวินยิ้มพลางโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เบื้องหน้าผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนปรากฏยาลูกกลอนขวดหนึ่งและกล่องหยกที่ปิดผนึกสมบัติอีกหนึ่งกล่อง

“นี่…”

ชายหญิงเหล่านั้นต่างลังเล ทอดสายตามองไปทางชีชาน

ชีชานหัวเราะร่วน “ให้พวกเจ้ารับไว้ก็รับไว้เถอะ เกรงใจอะไรกัน โอกาสเช่นนี้พลาดแล้วพลาดเลย”

ดังนั้นชายหญิงเหล่านั้นต่างพากันรับของขวัญจากหลินสวินไว้

พอลองดูคร่าวๆ พวกเขาแต่ละคนต่างร้องอุทานออกมา ในใจล้วนเต้นโครมครามรุนแรง ใบหน้าเปี่ยมแววตื่นเต้นและเหนือความคาดหมาย

เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง ของขวัญที่หลินสวินมอบให้ไม่ว่าจะเป็นยาลูกกลอนหรือสมบัติ สำหรับพวกเขาแล้วล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าราคาจมเมือง!

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก”

ชายหญิงเหล่านั้นกล่าวขอบคุณอีกครั้ง สีหน้าฉายแววซาบซึ้งและปลื้มปริ่มเปี่ยมล้น

“อย่าเรียกผู้อาวุโสเลย ข้าไม่ได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย”

หลินสวินยิ้มเจื่อน

ชีชานระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น “คำเรียกนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับฐานะและความแข็งแกร่ง อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ผู้ฝึกปราณมากมายได้แต่เงยหน้ามองเชียว”

คนอื่นๆ เองก็ยิ้ม ในใจล้วนผุดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสหลินที่ประหนึ่งตำนานคนนี้ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ลือกัน…

หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงไม่มีใครกล้าเชื่อว่าขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลอย่างจั่วและฉิน จะถูกเขาคนเดียวเหยียบราบเป็นหน้ากลอง

“ไป พวกเราไปหาที่ดื่มสุราพูดคุยกัน”

หลินสวินเสนอ

ชีชานลังเลครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไว้คราวหน้าดีกว่า”

หลินสวินนิ่งงัน รับรู้ได้อย่างว่องไวว่ายามนี้สภาพจิตใจของชีชานดูเหมือนจะไม่ชอบกล อดเอ่ยถามไม่ได้ “เจอปัญหากวนใจอะไรหรือ”

ชีชานตกใจ คิดไม่ถึงว่าสายตาของหลินสวินจะแหลมคมเช่นนี้ รีบยิ้มกล่าวเป็นพัลวัน “แค่เรื่องเล็กน้อย”

หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “เรื่องเล็กอะไรกัน ครูฝึก ตอนนี้มีผู้อาวุโสหลินอยู่ด้วยทั้งคน ท่านก็อย่าไปแก้แค้นคนเดียวอีกเลย เช่นนั้นมันอันตรายเกินไป”

“ใช่แล้ว ผู้แข็งแกร่งใต้บัญชาราชันไก่ฟ้าโลหิตนั่นมีมากมาย ท่านไปสู้ไม่คิดชีวิตคนเดียวมันอันตรายเกินไป”

คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยปาก ไอลีนโนเวล

ชายหนุ่มกำยำชุดดำคนหนึ่งถึงขั้นคุกเข่าลงต่อหน้าหลินสวินตรงๆ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ผู้อาวุโสหลิน ท่านโปรดช่วยครูฝึกด้วยเถิด!”

ชีชานสีหน้าอึมครึมทันควัน “เรื่องของข้า ต้องให้พวกเจ้ามาจุ้นจ้านด้วยหรือ ลุกขึ้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดลั่นทำให้ชายหญิงเหล่านั้นเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว แต่สีหน้าพวกเขากลับเปี่ยมด้วยแววร้อนรนยากจะปกปิด

ด้านข้างหลินสวินมองเก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ ในใจเริ่มเข้าใจขึ้นมา อดขมวดคิ้วกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ชีชาน พวกเราเป็นสหายที่จบจากค่ายกระหายเลือดด้วยกัน ตอนนี้เจ้ากลับเป็นเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าไม่เห็นข้าหลินสวินเป็นสหาย”

สีหน้าชีชานวูบไหวไม่นิ่ง สุดท้ายก็กล่าวปลงตก “ก็เพราะพวกเราเป็นสหาย ข้าถึงไม่อยากให้เจ้าเข้ามาพัวพันในปัญหานี้!”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ปัญหาใหญ่แค่ไหน ใหญ่กว่าทะลวงฟ้าเชียวหรือ”

ชีชานยิ้มขมขื่น “ก็ไม่ขนาดนั้น”

“ผู้อาวุโสหลิน ท่านพ่อท่านแม่ สหาย และคนตระกูลของครูฝึกล้วนถูกสัตว์อสูรมารพวกนั้นทำร้ายจนตาย ครั้งนี้เขาจะมุ่งหน้าไปแก้แค้นราชันไก่ฟ้าโลหิต!”

ชายหนุ่มกำยำคนนั้นอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ท่านเองก็เห็นแล้ว เมืองนี้ถูกบุกโจมตี และครอบครัวของครูฝึกเดิมทีก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้”

หลินสวินเข้าใจขึ้นมาในทันที ตบไหล่ชีชานเบาๆ “แค้นนี้แน่นอนว่าต้องชำระ แต่จะใช้อารมณ์ตัดสินใจไม่ได้”

ชีชานสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ราชันไก่ฟ้าโลหิตเป็นหนึ่งในจอมราชันอสูรมารใต้บัญชาราชันค้างคาวดำ หากเจ้าลงมือ จะต้องถูกราชันค้างคาวดำหมายหัวเพราะเรื่องนี้แน่”

“และจากที่ข้ารู้มา ตอนนี้ในจักวรรดิราชันอสูรมารทั้งหมดต่างจับจ้องเจ้าปานเสือรอตะครุบเหยื่อ หมายจะสังหารเจ้า ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ข้าจะให้เจ้ามาพัวพันกลางคลื่นลมนี้ได้อย่างไรกัน”

ประโยคนี้สิ้นสุด ชายหญิงเหล่านั้นก็พากันหน้าเปลี่ยนสี

พวกเขาก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่กี่วันมานี้ในจักรวรรดิมีอสูรมารหลายตนประกาศกร้าว หมายจะสังหารหลินสวิน เอ็ดอึงจนสะเทือนฟ้าดิน ไม่อาจสงบได้เลย

ความกังวลของชีชานทำให้ในใจหลินสวินไหวหวั่นไม่สิ้น นี่ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจจะช่วยชีชานอย่างแน่วแน่ยิ่งขึ้นไปอีก

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่”

หลินสวินถามยิ้มๆ นัยน์ดำลุ่มลึก

ชีชานนิ่งงัน จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา กล่าวอย่างตกใจว่า “หรือว่าเจ้าก็จะ…”

หลินสวินพยักหน้า

……

นอกเมืองเขี้ยวโลหิต มีภูเขาทอดตัวเรียงรายเป็นแนวคลื่น ในส่วนลึกมีหุบเขาสงัดเงียบที่งดงามเหนือธรรมดา ประหนึ่งแดนสุขาวดี วิมานเทพเซียน

แต่ตอนนี้กลางหุบเขานี้กลับมีไอพิษควันโขมง สัตว์อสูรมารมากมายยึดครองพื้นที่ แต่ละตนสีหน้าเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายดุร้ายอำมหิต

“จอมราชัน พวกเราหิวจวนจะแย่แล้ว เมื่อไหร่พวกเราจะออกไปสังหารเหยื่อกันอีก”

อสูรมารบำเพ็ญที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีน้ำตาลเอ่ยถามด้วยเสียงเจือแววคาดหวัง

ราชันไก่ฟ้าโลหิตเอนตัวนอนบนแท่นนนอนนุ่มหรูหรา พูดอย่างเกียจคร้าน “ไม่ฆ่าแล้ว ราชันค้างคาวดำออกคำสั่งว่าพักนี้ต้องเก็บตัวหน่อย ได้ยินว่า…จะระดมพลังทั้งหมดไปจัดการคนเผ่ามนุษย์ที่ชื่อหลินสวิน”

เขาสวมชุดคลุมโอ่อ่าทั้งตัว ผิวขาวซีด ริมฝีปากกลับแดงฉานปานเลือด นัยน์ตาเป็นสีเขียวมรกตแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าพิสดารหาใดเปรียบ

ข้างกายเขาเด็กสาวเผ่ามนุษย์หน้าตาสะสวยที่สวมเพียงผ้าโปร่งบางๆ สองคนคุกเข่าอยู่ กำลังบีบนวดแข้งขาให้เขา

เด็กสาวทั้งสองล้วนถูกบังคับจับตัวมา รูปร่างหน้าตาจัดว่างดงาม เพียงแต่สีหน้าแข็งทื่อ แววตาก็ดูว่างเปล่าหาใดเปรียบ

“จอมราชัน แย่แล้ว มีผู้ฝึกปราณบุกเข้ามาขอรับ!”

ทันใดนั้นนอกหุบเขาก็มีเสียงร้องตื่นตระหนกหาใดเปรียบสายหนึ่งดังขึ้น

ราชันไก่ฟ้าโลหิตอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและกล่าวว่า “ถึงกับยังมีผู้ฝึกปราณแจ้นมาตายหรือ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ไปๆๆ เจ้าไม่ได้หิวอยู่หรือ พาสมุนส่วนหนึ่งไปฆ่าพวกไม่รู้จักรักตัวกลัวตายนั่นเสีย”

“ขอรับ!”

อสูรมารบำเพ็ญหน้าตาอัปลักษณ์ที่อยู่ด้านข้างตนนั้นรีบรับคำสั่ง เดินออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

แต่ไม่ทันไรเสียงร้องหวาดกลัวก็ดังลอยมาแต่ไกลอีกครั้ง “แย่แล้ว! ตายกันหมด ตายกันหมดแล้ว…”

ตูม!

ตามหลังเสียงร้องลั่นอึกทึก ยังมีเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดินอีกสายหนึ่งดังขึ้นมาด้วย สนั่นหวั่นไหวจนหุบเขาใหญ่โตยังสะเทือนขึ้นมา

ราชันไก่ฟ้าโลหิตลุกพรวดขึ้นมาจากแท่น แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง สีหน้าอึมครึม “ไอ้พวกไร้ประโยชน์!”

“ไร้ประโยชน์จริงๆ!”

และยามนี้เอง ห้วงอากาศเหนือหุบเขามีเสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้น

ราชันไก่ฟ้าโลหิตเงยหน้าขึ้นขวับ ก็เห็นว่าในห้วงอากาศไกลๆ มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ผู้นำเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเหนือโลกีย์คนหนึ่ง

“รนหาที่ตาย!”

สีหน้าราชันไก่ฟ้าโลหิตยิ่งมืดทะมึนมากกว่าเดิม

ปึง!

เขาถีบเท้าออกไปคราหนึ่ง เด็กสาวงดงามสองคนที่อยู่ด้านข้างถูกเตะจนร่างกระจุยทันที ร่างงามสลายหายไป

พอเห็นภาพนี้ หลินสวินที่พาพวกชีชานมุ่งหน้ามาพร้อมกันพลันมีประกายเย็นเยียบวาบผ่านในนัยน์ตา กล่าวว่า “เจ้าก็คือราชันไก่ฟ้าโลหิตกระมัง”

ราชันไก่ฟ้าโลหิตยิ้มแสยะ “ในเมื่อรู้ว่าเป็นข้า ยังกล้าแจ้นมาทิ้งชีวิต ไอ้หนุ่ม เจ้าใจกล้าไม่เบา”

“ให้ข้าฆ่ามัน!”

ทันใดนั้นชีชานก็ก้าวออกมา ดวงตาแดงก่ำ ไอสังหารพุ่งเสียดฟ้า

เมืองเขี้ยวโลหิต ก็เพราะถูกกองทัพใหญ่สัตว์อสูรมารที่นำโดยราชันไก่ฟ้าโลหิตบุกโจมตี ครอบครัวและสหายทั้งหมดของชีชานตายจึงอนาถหลังจากการบุกเมืองครั้งนั้น!

ตูม!

เสียงยังไม่ทันสิ้นสุดชีชานก็พุ่งตัวออกไปเต็มแรง กำทวนยาวสีเขียวเล่มหนึ่ง พุ่งโจมตีออกไปราวกับรุ้งเทพแหลมคมสะท้านโลกสายหนึ่ง

“แค่ระดับราชันเล็กๆ คนหนึ่ง ยังไม่เคยแม้แต่ข้ามอมตะเคราะห์สักครั้ง ถึงกับวิ่งมาทิ้งชีวิต… ฮ่าๆๆ”

ราชันไก่ฟ้าโลหิตแหงนหน้าหัวเราะลั่น สีหน้าเปี่ยมแววเยียบเย็นและเหยียดหยามอย่างที่สุด

เขายื่นฝ่ามือกดออกไปคราหนึ่ง

ประทับฝ่ามือสีเลือดควบรวม ไอชั่วร้ายพวยพุ่ง ซัดห้วงอากาศกระจุย น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด

ราชันไก่ฟ้าโลหิตมั่นใจนัก ด้วยพลังระดับอมตะเคราะห์ด่านสามของเขา แค่หนึ่งฝ่ามือลวกๆ ก็เพียงพอจะตบเผ่ามนุษย์หน้าโง่ไม่รู้จักดีชั่วคนนี้ให้ตายได้แล้ว!

…………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท