เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 682
เวลากลางคืน ในขณะที่แสงไฟสว่างจ้า
ตระกูลลู่ ต่างก็กำลังลิงโลดดีอกดีใจกันทั้งหมด
นับตั้งแต่วันนี้ไป ลู่ฝานก็จะกลายเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเมืองตงหวาแล้ว
ตระกูลลู่เองก็ถือว่าได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปสู่ระดับตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งในเขตตงหวาแล้ว เพียงแค่รอเวลาอีกหน่อย ก็จะกลายเป็นวงศ์ตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเขตตงหวาอย่างแน่นอน
“เจ้าบ้านลู่ฝาน นำเอาสิ่งของบนร่างของกุยวัวนั้นออกมาให้พวกเราดูกันหน่อยเถอะ ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่บ้าง”
ในขณะที่กำลังชนแก้วดื่มกันอย่างสนุกสนานนั้น พวกคนที่ดื่มจนเมาแล้วก็เริ่มที่จะโวยวายขึ้น
พวกข้าราชการพ่อค้านักธุรกิจ ตอนที่เพิ่งจะมาถึงนั้น ก็ยังคงระแวงและยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง
แต่จากการที่ลู่ฝานนั้นเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและเป็นกันเอง ไม่มีลักษณะท่าทางที่เย่อหยิ่ง ทำให้ไม่นานนักก็สร้างความสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกคนได้แล้ว
ลู่ฝานส่ายมือไปมาและพูดขึ้นว่า: “ในตัวของฉันมีสิ่งของอะไรที่ไหนกันล่ะ หลังจากที่เอาชนะกุยวัวได้นั้น ก็แทบจะถูกขวิดตายไปอยู่แล้ว และฟ้าดินก็เกิดการสั่นสะเทือน หลังจากนั้นก็จมลงในทะเลสาบน้ำแข็ง ซึ่งน่าเสียดายมาก ที่ไม่ได้สิ่งของอะไรมาเลย”
ลู่ฝานพูดโกหกกับทุกคนอย่างหน้าด้าน เขาคงไม่มีทางที่จะนำแก้วหินของกุยวัวออกมาให้พวกคนเหล่านี้พบเห็นอย่างแน่นอน
ที่พูดกันว่าเงินทองความมั่งคั่งมักจะไม่เปิดเผย ก็คือหลักเหตุผลแบบนี้นั่นเอง
“ขอโทษทุกท่านด้วย ที่ฉันดื่มไม่เก่งนัก จึงต้องขอตัวลากลับก่อนแล้ว! ”
ลู่ฝานแกล้งทำเป็นมึนเมา พร้อมกับยกมือแสดงความขอโทษต่อทุกคน
เขารู้สึกว่าตนเองกินดื่มสังสรรค์พอสมควรแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบภาระต่อให้กับคุณพ่อลู่หาว และคุณปู่ลู่เฮ่าหรานแล้ว
ก็เป็นเพราะพวกเขาดูท่าทางมีความสุข จึงน่าจะชื่นชอบการสังสรรค์ทำนองนี้
เมื่อลู่ฝานเดินมาถึงลานกว้างหลังบ้านแล้ว ก็โบกมือให้กับลูกหลานตระกูลลู่ที่เดินตามอยู่ด้านข้างนั้นกลับออกไป
ลู่ฝานไม่ค่อยจะชอบสายตาของลูกหลานตระกูลลู่ที่จ้องมองมาที่ตัวเขา ซึ่งเหมือนกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
แต่ลู่ฝานเองก็ไม่สามารถพูดอะไรกับพวกเขามากได้ เพราะความเคารพนับถือเขาของคนในตระกูลลู่นั้น มันแทบที่จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจแล้ว
เมื่อครู่นี้ มีเศรษฐีคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าจนมึนเมา ได้พูดคำที่ไม่สุภาพไม่เคารพต่อลู่ฝานเพียงเล็กน้อย
ก็แทบจะถูกลูกหลานตระกูลลู่ที่โมโหพุ่งเข้ามาทำร้ายแล้ว แต่ยังดีที่ลู่ฝานได้ส่งสายตายับยั้งการกระทำดังกล่าวของพวกเขาเอาไว้
เรื่องนี้ ทำได้เพียงไว้ค่อยพูดคุยกันทีหลัง ในเวลานี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แน่นอน
เมื่อมาถึงลานหลังบ้าน หัวหน้าเขตอี้ว์ และผู้เฝ้าเมืองจางนั้นได้รอคอยเขาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว
“ผู้ตรวจการลู่ เชิญ! ”
หัวหน้าเขตอี้ว์ลุกยืนขึ้นพูด
ลู่ฝานในเวลานี้ มีสถานะที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มีคุณสมบัติอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับพวกเขาแล้ว
ลู่ฝานเองก็ไม่ได้หยิ่งทะนง พูดขึ้นอย่างเคารพว่า: “เชิญหัวหน้าเขตอี้ว์เช่นกัน! ”
ผู้เฝ้าเมืองจางหัวเราะเหอะเหอะ แล้วทั้งสามคนก็นั่งลง
ลู่ฝานเองก็ไม่ทำเป็นเกรงใจอะไรแล้ว เมื่อนั่งลง ก็สอบถามขึ้นโดยตรงว่า: “ผู้เฝ้าเมืองจาง ใครกันที่แอบลอบฆ่าฉัน ตรวจสอบพบแล้วเหรอยัง? ”
ผู้เฝ้าเมืองจางพยักหน้าและพูดว่า: “ตรวจสอบได้พอสมควรแล้ว แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็คงจะไม่ผิดไปจากนี้ โดยผู้ที่ยังมีชีวิตรอดนั้นได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว ส่วนคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรบนร่างกายเลย แต่ฉันได้พบเจอกับคนที่รู้จักกับพวกเขาแล้ว บอกว่าพวกมันคือพวกวายร้ายที่หลงเหลืออยู่ของสำนักโลหิตพิฆาต ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอี่ว์”
ลู่ฝานพยักหน้า มีเพียงข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ก็สามารถยืนยันได้แน่แล้ว
สำหรับหลักฐานนั้น เหอะเหอะ ตอนนี้เขาทำอะไร ก็ไม่ได้เน้นย้ำว่าต้องการหลักฐานอะไรแล้ว
หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน ความแค้นระหว่างนายกับตระกูลอี่ว์นั้น ในฐานะที่ฉันเป็นหัวหน้าเขตอี้ว์เดิมทีก็ไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรอก แต่เวลานี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะว่าเบื้องหลังของตระกูลอี่ว์นั้นยังมีนักบู๊ปราณฟ้าอยู่คนหนึ่ง โดยฉันจำต้องพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันสามารถรับรองได้ว่าตระกูลอี่ว์จะไม่มาสร้างความยุ่งยากอะไรต่อตระกูลลู่อีกเป็นอันขาด แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่า ตระกูลลู่นั้นก็ห้ามที่จะส่งคนไปสังหารทำร้ายตระกูลอี่ว์เช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่นายได้เคยลงมือในเมืองเจียงหลินนั้น ฉันได้ไปตรวจสอบมาแล้วว่า มีการลงมืออย่างทารุณโหดเหี้ยมเลยทีเดียว แต่ห้ามมาใช้ในสถานที่แห่งนี้อีก”
หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ไม่เหมือนกับเป็นคำสั่ง แต่เหมือนกับว่าเป็นการร้องขอ
ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า: “ในเมื่อหัวหน้าเขตอี้ว์พูดแบบนี้แล้ว อย่างนั้นฉันก็จะยืนยันทำตามใจ เพื่อให้เกียรติต่อหัวหน้าเขตอี้ว์ ตกลงว่า เพียงแค่ตระกูลอี่ว์ไม่มาสร้างปัญหาความวุ่นวายต่อตระกูลลู่ของฉัน ฉันก็จะปล่อยเขาไป แต่ว่า หากฉันจะใช้กฎเกณฑ์ของนักบู๊ท้าทายตระกูลอี่ว์ล่ะจะว่าอย่างไร? ”