เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 690
ตอนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับพวกลูกหลานของตระกูลลู่แล้ว จากความคิดคาดการณ์ของลู่ฝานนั้น หวังว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี ท่ามกลางพวกคนเหล่านี้จะปรากฏนักบู๊แดนปราณในขึ้นมากลุ่มหนึ่ง และปรากฏนักบู๊แดนปราณนอกขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ตระกูลถึงจะถือว่าได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ภายในลานประลองบู๊ ลู่ฝานมองไปยังพวกลูกหลานของตระกูลลู่ที่กำลังฝึกฝนทักษะบู๊แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย
ศิษย์พี่หานเฟิงเองก็คงจะว่างจนน่าเบื่อแล้ว ถึงได้มาสอนพวกคนเหล่านี้ฝึกฝนวิชาบู๊ด้วย ซึ่งเมื่อดูจากท่าทางของเขา เหมือนจะกำลังสอนอย่างสบายใจเลยทีเดียว
ลู่ฝานจึงไม่ไปรบกวน
ด้านนอก ฉินเอ๋อร์ได้เดินเข้ามา และพูดขึ้นว่า: “เจ้าบ้าน มีจดหมายมาจากเมืองลู่”
ลู่ฝานยื่นมือออกมารับจดหมาย พร้อมกับมองไปที่ฉินเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม
เวลานี้ฉินเอ๋อร์ถือว่าเป็นหญิงรับใช้คนสนิทของเขาแล้ว เอกสารจดหมายทุกฉบับล้วนจะต้องผ่านมือของฉินเอ๋อร์ก่อนทั้งหมด
ฉินเอ๋อร์มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน ไม่ร้อนรน ทำให้ลู่ฝานชื่นชอบเป็นอย่างมาก
เมื่อเปิดจดหมายออก และมองเห็นตัวอักษรด้านในก็รู้ได้เลยว่าเป็นของลู่หมิง
กวาดสายตาอ่านผ่าน ๆ ช่วงแรกล้วนแต่เป็นรายละเอียดที่ลู่หมิงบ่นโวยวายว่าการเป็นผู้เฝ้าเมืองนั้นมันยุ่งยากน่าเบื่อ มีปัญหาความวุ่นวายอย่างมาก ช่วงกลางพูดถึงว่า เขาได้นำตัวโม่หยุนเฟยที่อยู่ในคุกใต้ดินออกมาดูโลกภายนอกโดยเฉพาะ เพื่อให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นว่า เวลานี้เมืองเจียงหลินนั้นได้กลายเป็นเมืองลู่แล้ว
ผลลัพธ์ก็คือโม่หยุนเฟยที่เดิมทีก็ถูกทรมานจนสูญเสียสภาพของความเป็นคนไปแล้วนั้น เมื่อเห็นว่าตระกูลลู่ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกสังหารกวาดล้างทั้งตระกูล แต่กลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก โม่หยุนเฟยจึงวิ่งพุ่งชนกำแพงเมืองฆ่าตัวตายลงเดี๋ยวนั้นเลย
ลู่ฝานอ่านถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจ
เมื่ออ่านจดหมายต่อไปอีก จนถึงช่วงสุดท้าย ลู่หมิงถึงได้พูดถึงเรื่องสำคัญ
“มีจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่ที่หัวนอนของฉัน ซึ่งเป็นจดหมายที่มาจากเขาซีซาน บอกว่าตัวคนได้จากไปแล้ว แต่มิตรภาพความผูกพันธ์ยังคงอยู่ วันหลังเมื่อนายไปยังเมืองหลวง แล้วค่อยพบเจอกัน”
ลู่ฝานตกใจขึ้นทันที ทางเขาซีซานส่งจดหมายมาให้ นั่นคงจะเป็นจดหมายที่หวูเฉินอาจารย์ของเขาฝากเอาไว้เป็นแน่
เมืองหลวง?
อาจารย์เขาไปที่เมืองหลวงแล้วอย่างนั้นเหรอ?
ลู่ฝานไม่เข้าใจอยู่บ้าง จึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ตอนท้าย ลู่หมิงถามในจดหมายว่า คนของเขาซีซานนั้น ใช่ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนหรือไม่
ลู่ฝานเงียบสงบลงไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ ช่างเถอะ ในเมื่ออาจารย์ไปยังเมืองหลวงแล้ว อย่างนั้นก็ทำตามที่เขาพูด เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ค่อยพบเจอกัน
ลู่ฝานเก็บจดหมายขึ้น และพูดว่า: “เธอยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ”
ฉินเอ๋อร์พูดขึ้นว่า: “ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรแล้ว ก็แค่จวนหัวหน้าเขตได้ส่งคนมาแจ้งข่าวสารอีกแล้วว่า คุณเสี้ยวเอ๋อร์ขอเชิญท่านไปยังจวนหัวหน้าเขตเพื่อพูดคุยกันหน่อย”
ลู่ฝานได้ฟังแล้วก็ปวดหัวโดยพลัน ส่ายมือไปมาและพูดขึ้นว่า: “แจ้งกลับไปว่าฉันไม่ค่อยสบาย ช่วยปฏิเสธคำเชิญไปหน่อยนะ ใช่แล้ว ช่วงนี้ ตระกูลอี่ว์มีสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
ลู่ฝานยิ้มและถามขึ้น ด้วยแววตาที่น่าแปลก
ฉินเอ๋อร์พูดขึ้นว่า: “ดูเหมือนไม่ค่อยจะดีเท่าไร อี่ว์ชิงเชิงยังคงลงจากเตียงไม่ได้ ได้ยินมาว่าพวกเขาได้เชิญแพทย์ไปรักษาจำนวนหนึ่งแล้ว และถึงขนาดเชิญผู้ฝึกชี่สองคนด้วย แต่ก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้”
ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “เป็นแบบนี้เหรอ ฉันทราบแล้ว ฉินเอ๋อร์อ่ะ ช่วงกี่วันนี้ฉันจะเก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่าได้ให้ใครมารบกวนฉันล่ะ”
ฉินเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า: “รับทราบ เจ้าบ้าน ฉินเอ๋อร์จะไม่ให้ใครมารบกวนท่านแน่นอน”
ลู่ฝานพูดว่า: “ดีมาก”
เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักของตนเอง
ขณะที่เดินไปถึงประตูห้องแล้ว ลู่ฝานก็สั่งให้ฉินเอ๋อร์กลับออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องคนเดียว
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามตนเองมา ลู่ฝานจึงปิดประตูห้อง
จากนั้นก็นำสิ่งของสองอย่างออกมา จากแหวนของตน
ได้แก่ชุดคลุมตัวใหญ่หนึ่งชุด และหน้ากากเงินหนึ่งแผ่น
สิ่งของสองอย่างนี้ เก็บอยู่ในแหวนของลู่ฝานมานานไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่ยังดีที่ยังไม่สูญหายไป ซึ่งเวลานี้ไม่ใช่ว่ากำลังเตรียมที่จะนำออกมาใช้งานแล้วไม่ใช่เหรอ?
ใบหน้าของลู่ฝานมีรอยยิ้มขึ้น แล้วก็นำหน้ากากเงินมาสวมใส่บนใบหน้า
เปลี่ยนใส่ชุดคลุม พลังชี่ในร่างกายก็เกิดการผันผวน เขากลายเป็นผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนอีกครั้งแล้ว
ปราณชี่ควบคุมที่ลำคอ ลู่ฝานพูดขึ้นด้วยน้ำสียงที่ทุ้มต่ำว่า: “ฉันมีชื่อว่าเถ่เมี่ยน”
หากพึงพอใจแล้วก็พยักหน้า ลู่ฝานเปิดประตูห้องออกเล็กน้อย จากนั้นก็นำตัวเจ้าดำวางไว้ที่หน้าประตู
“เจ้าดำ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาเป็นอันขาดรู้ไหม? ”
เจ้าดำพยักหน้าพร้อมกับหาวนอนไปด้วย
ลู่ฝานกลายร่างเป็นสายลม หายตัวไปอย่างไร้รองรอย