ซ่งอู๋เชวีย
อัจฉริยะที่ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่ง บุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ผงาดขึ้นมาในสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้โดดเด่นด้านการบำเพ็ญที่ถูกมองว่าหายากในพันปี
ในค่ายทัพจักรวรรดิตอนนี้ ความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของเขาอยู่หนึ่งในห้าเลยเชียว!
ตอนนี้คนที่เป็นแกนนำพุ่งขึ้นยอดเขาหมายจะคิดบัญชีกับหลินสวินก็คือคนผู้นี้
ตอนที่รู้ข่าวนี้ พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างนั่งไม่ติดและเร่งรีบขึ้นยอดเขาไป
พวกเขารู้ดีว่าซ่งอู๋เชวียนอกจากเป็นอัจฉริยะบำเพ็ญมรรคที่มีชื่อเสียง ยังเป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน!
ความแข็งแกร่งของเขา ไม่ต้องสงสัยมาตั้งนานแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สืออวี่ หนิงเหมิงประหลาดใจคือ ซ่งอู๋เชวียเป็นคนเก็บตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งใดๆ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นแกนนำไปโจมตีหลินสวินเสียได้
เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ หรือ
เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายขนาดนี้
ระหว่างทางขึ้นเขา พวกสืออวี่เห็นผู้คนมากมายมีสีหน้าตื่นเต้น อยากรู้อยากลอง ท่าทางเหมือนมาดูความครื้นเครง
ไม่นานก็มาถึงยอดเขา
บนยอดเขาเมฆครามหมอกเมฆปกคลุม ไอม่วงพลุ่งพล่าน ประหนึ่งที่พำนักของเทพเซียน
ยอดเขามีเพียงเรือนหินสองหลัง หลังหนึ่งเป็นของราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ ตอนนี้นางไม่อยู่
อีกหลังเป็นของหลินสวิน จ้าวซิงเย่เตรียมไว้ให้หลินสวินโดยเฉพาะ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เช่นนี้เป็นที่อิจฉาตาร้อนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
เพราะทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาเมฆาครามเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสมรภูมิกระหายเลือด และตรงตำแหน่งยอดภูเขาก็เป็นสถานที่มงคลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แม้เป็นอริยะก็ไม่สามารถปฏิเสธความดึงดูดในการมาฝึกปราณที่นี่ได้
แต่ตอนนี้หลินสวินได้รับผลประโยชน์เช่นนี้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ยุติธรรม มีสิทธิ์อะไร
ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียยืนอยู่หน้าเรือนหินที่หลินสวินอยู่ เงาร่างของเขาผอมซูบ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ตัวตรงดุจกระบี่คม การแต่งกายเรียบง่าย แต่กลับแผ่ไอแห่งความเฉียบคมที่น่ากลัวดุร้ายชวนกดดัน
กลุ่มผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ห่างออกไป สีหน้าฮึกเหิมยากจะกักเก็บ
พวกเขาทนมานานแล้ว!
ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนหาเรื่องตัวมอดอย่างหลินสวิน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับซ่งอู๋เชวีย ทำให้พวกเขาคาดหวังว่าความแค้นอันใหญ่หลวงจะถูกเอาคืน
พวกองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงและฉินเฟยอวี่ก็อยู่ในนั้นด้วย
เพียงแต่จ้าวจิ่งเฟิงกลับประหลาดใจเล็กน้อย อดสื่อจิตไม่ได้ ‘เจ้าเกลี้ยกล่อมซ่งอู๋เชวียอย่างไร ข้าจำได้ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมีเรื่องและไม่เคยยุ่งเรื่องความขัดแย้งใด มีแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปราณอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น’
ฉินเฟยอวี่เผยรอยยิ้มมั่นใจ ‘ข้าบอกเขาเพียงว่า สองปีหลังจากนี้ หลินสวินจะไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในฐานะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของฝั่งจักรวรรดิแทนที่หลี่ตู๋สิง’
‘แล้วเขาก็ตอบรับเลยหรือ’ จ้าวจิ่งเฟิงอึ้ง
ฉินเฟยอวี่พยักหน้า ‘ซ่งอู๋เชวียขาดอะไรตรงไหน เอาแต่หมกมุ่นคลั่งไคล้การฝึกปราณที่สุด ปีที่แล้วตอนที่รู้ว่าหลี่ตู๋สิงจะเป็นตัวแทนค่ายทัพจักรวรรดิไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค เขาก็ไปหาถึงที่ ดวลกับหลี่ตู๋สิงรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นหลินสวินเท่านั้น’
จ้าวจิ่งเฟิงงุนงง จุ๊ปากชื่นชม ‘ซ่งอู๋เชวียถือเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ’
ฉินเฟยอวี่ยิ้มพูด ‘เช่นนี้จึงจะดูออกว่าหลินสวินมีความสามารถแค่ไหนกันแน่ ตั้งแต่เขาเข้ามาในภูเขาเมฆาครามก็แทบไม่เคยออกจากเรือน และไม่เคยลงแรงเพื่อจักรวรรดิ กลับได้รับความโปรดปรานจากท่านจ้าวซิงเย่ ดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้ทุกคนไม่พอใจตั้งนานแล้ว’
หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อ ‘ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียมาหาถึงที่ หากหลินสวินสามารถสกัดการท้าทายครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าไม่…’
จ้าวจิ่งเฟิงหัวเราะเยาะ ‘หากสกัดไม่อยู่ เขาหลินสวินไม่เพียงขายหน้า ยังกระตุ้นให้ทุกคนขึ้งโกรธโดยสมบูรณ์ มองเขาเป็นมอดที่ทุกคนรังเกียจ ถึงตอนนั้นแม้ท่านอาข้าออกหน้า ก็คงไม่สามารถปกป้องมอดตัวนี้ได้!’
ฉินเฟยอวี่กล่าว ‘ที่องค์ชายเจ็ดพูดถูกต้องอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อไปหลินสวินจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการดูแลพิเศษเช่นนั้นอีก’
“หลินสวิน ยังไม่ออกมารับศึกอีกหรือ”
หลายเสียงกำลังตะโกนราวกับกลัวว่าจะไม่วุ่นวายพอ
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงขมวดคิ้ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะซ่งอู๋เชวียมาท้าทายอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่มีใครสามารถขวางได้
‘จำพวกใส่ไฟพวกนั้นให้ดี ต่อไปหาโอกาสจัดการพวกเขาซะ!’ สืออวี่ยิ้มสื่อจิต ในคำพูดกลับแฝงความชิงชัง
‘แน่นอนอยู่แล้ว’
หนิงเหมิงยิ้มเยาะ ‘ความอิจฉาทำให้คนน่ารังเกียจ คนพวกนี้กล้าคิดไม่ซื่อกับหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าถูกเพลิงริษยาครอบงำไปแล้ว’
ไม่ได้ให้ทุกคนรอนาน ประตูเรือนหินที่ปิดสนิทถูกเปิดออก หลินสวินที่ปิดด่านมานานหลายเดือนปรากฏตัวในสายตาของทุกคน
เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางนิ่งสงบ สายตากวาดมองทุกคนแล้วหยุดที่ซ่งอู๋เชวีย
ตั้งแต่กลับโลกชั้นล่างหลินสวินไม่ได้เจอเรื่องเช่นนี้มานานมากแล้ว การตอบสนองแรกของเขาคือ อีกฝ่าย…
โง่หรือเปล่า
ควรรู้ว่าในค่ายแห่งนี้ คนเดียวที่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้คือจ้าวซิงเย่
อีกทั้งวันแรกที่เขามาถึงก็ใช้ฝ่ามือสะบัดใส่หน้าองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงไปสองที พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้กลับยังมีคนแสดงตัวออกมาท้าทาย นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่โง่ ก็คงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือ
คิดถึงตรงนี้หลินสวินรู้สึกไร้ความน่าสนใจ พลันพูดตรงๆ “ไม่กลัวตาย?”
ซ่งอู๋เชวียยังไม่ทันบอกจุดประสงค์การมาของตนเอง ถึงขั้นยังไม่ทันพูดแม้แต่ประโยคเดียวก็ได้ยินคำถามเช่นนี้ จึงอดชะงักไม่ได้
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างผิดคาด คำถามนี้ตรงเกินไป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ติดจริงๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดจะต่อว่า โจมตี กล่าวโทษและประณามตัวมอดอย่างหลินสวินสักหน่อย เพื่อช่วยเสริมซ่งอู๋เชวีย
แต่ประโยคเดียวของหลินสวิน เพียงสามคำ ก็โจมตีพวกเขาจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ความรู้สึกนั้นเหมือนงานเลี้ยงที่ตั้งใจเตรียมยังไม่ทันเริ่ม ก็มีคนประกาศว่าจะเก็บงาน น่าเดือดดาลและขัดเคืองใจเกินไปแล้ว
“กลัวตาย” สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ หลังจากซ่งอู๋เชวียจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองก็กลัวตาย
ทำลายความองอาจของตัวเองเกินไปแล้ว!
ความคาดหวังที่ความแค้นอันใหญ่หลวงกำลังจะถูกชำระในใจทุกคนพลันถูกสกัดกั้นไว้ในอกทันที มีความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูก
หลินสวินเองก็อึ้ง หยุดมองซ่งอู๋เชวียแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “กลัวตายแล้วยังไม่รีบไปอีกหรือ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ซ่งอู๋เชวียตอบกลับอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลสักนิด
ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินครั้งแรก เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายข่มขวัญใดๆ แต่ตอนที่หลินสวินถามสามคำนั้นออกมา ซ่งอู๋เชวียกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างกะทันหัน
ราวกับถูกการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตจับจ้อง ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวเขาเกร็งขึ้นมา กระสับกระส่ายอย่างที่สุด จิตใจยิ่งแบกรับความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
เขาตัดสินทันทีว่า หากลงมือตนจะต้องแพ้แน่ จึงยอมแพ้อย่างว่องไว
เพียงแต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนทั้งลานพูดไม่ออก เหมือนกินแมลงวันตายเข้าไปไม่มีผิดเพี้ยน สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้พวกเขาระดมผู้คนมามากมาย ต่างฮึกเหิมพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น มีท่าทีว่าวันนี้จะสามารถกำจัดตัวมอดอย่างหลินสวินระบายความแค้นในใจ
เพื่อการนี้พวกเขารวมตัวกันมา ล้วนอยากเห็นจุดจบที่หลินสวินถูกโจมตีจนยับเยิน ถึงขั้นเตรียมพร้อมว่าตอนที่หลินสวินพ่ายแพ้จะเหยียบซ้ำให้หนัก หักหน้าเขา ให้เขารู้ว่าจุดจบของการเป็นมอดน่าอนาถแค่ไหน
แต่ไม่เคยคิดว่าแค่การสนทนาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาไม่กี่คำ ซ่งอู๋เชวียก็สู้ไม่ไหวแล้ว!
เปิดเรื่องอย่างยิ่งใหญ่ แต่จบอย่างไม่น่าสนใจ ฟ้าร้องดังฝนแผ่วก็เป็นเช่นนี้แหละ!
ผู้แข็งแกร่งหลายคนอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด ซ่งอู๋เชวียทำเช่นนี้ได้อย่างไร
ส่วนฉินเฟยอวี่และจ้าวจิ่งเฟิงรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับยากจะเชื่อ ในใจเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน
ซ่งอู๋เชวียยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร
เขาเป็นถึงบุคคลกร้าวแกร่งที่พลังต่อสู้จัดอยู่ในห้าอันดับแรกของค่าย เคยดวลกับหลี่ตู๋สิงยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี!
ยอมแพ้ได้อย่างไร
ทุกคนนิ่งงันสับสนอยู่ท่ามกลางสายลม
แม้แต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงยังเผยสีหน้าตะลึงว่าทำเช่นนี้ก็ได้หรือ
มีเพียงหลินสวินที่ในใจแอบชื่นชม นับว่าเป็นคนที่ใช้ได้ สังเกตได้ว่าไม่เข้าทีก็ตัดสินใจทันที ปล่อยวางได้ไม่ยึดติด
“ก่อนไปข้ามีเรื่องหนึ่งอยากทำ”
จู่ๆ ซ่งอู๋เชวียก็พูดขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งลาน หลายคนตื่นเต้นขึ้นมา
ฉินเฟยอวี่ยิ่งท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพูด “ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก ควรเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”
ชิ้ง!
พลันเห็นซ่งอู๋เชวียชักกระบี่ออกมากะทันหัน คมกระบี่ราวกับน้ำที่สะอาดสดใสในฤดูใบไม้ร่วง ส่องแสงเย็นเยียบอันรุนแรงสะดุดตาท่ามกลางแสงท้องฟ้า
ส่วนปลายกระบี่ กลับชี้ไปที่ฉินเฟยอวี่!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่เพียงทำให้ทั้งลานผิดคาด เกือบจะร้องตกใจออกมา แม้แต่ฉินเฟยอวี่ยังแข็งทื่อไปทั้งตัว ลูกตาแทบหลุดออกมา
เขาเพิ่งจะพูดว่า ‘ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก’ ผลคือ… หนึ่งกระบี่กลับแทงมาเช่นนี้!
กะทันหันเกินไป ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก
ปัง!
คมกระบี่ม้วนกลับด้วยความไวที่เหลือเชื่อ ทะลวงการป้องกันและสกัดกั้นของฉินเฟยอวี่ ตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง
ท่ามกลางเสียงที่ทึบหนัก ฉินเฟยอวี่ถูกตบจนปลิวไปทั้งตัวราวกับว่าวที่สายป่านขาด ร่วงลงข้างหน้าผาตกสู่ทะเลเมฆ
ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงตะโกนที่เดือดดาล งุนงง และเจ็บปวดของเขา สะเทือนจนทะเลเมฆเป็นคลื่นขึ้นมา ดังก้องท้องฟ้า
ผู้แข็งแกร่งทั้งลานที่ตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงขนลุกซู่ขึ้นมา ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาพวกเขาเองก็ตกใจ
ใครก็คิดไม่ถึงว่าการท้าทายที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน กลับจบลงที่ฉินเฟยอวี่ถูกโจมตี…
เหลือเชื่อเกินไป!
เสียงชิ้งดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซ่งอู๋เชวียเก็บกระบี่แล้วหันไปประสานหมัดให้หลินสวินไกลๆ โดยไม่อธิบายอะไร พูดเพียงว่า “ล่วงเกินเสียแล้ว” ก็หมุนตัวจากไป
ทุกคนยังคงจิตใจงงงวย
มีเพียงจ้าวจิ่งเฟิงที่รู้ดีว่า กระบี่นี้ของซ่งอู๋เชวียเป็นการแสดงความไม่พอใจและตักเตือนฉินเฟยอวี่!
“ทุกท่านเชิญกลับไปเถอะ”
หลินสวินพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วหมุนตัวกลับเรือนหินไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยลงมือ แต่ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ ซ่งอู๋เชวียไม่ใช่คนที่ชอบหยอกคนเล่นแน่
ที่เขาล้มเลิกการท้าทาย คงเพราะสังเกตเห็นและเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว!
ทันใดนั้นความอัดอั้นและความไม่จำยอมที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยในใจทุกคนแปลงเป็นความสงสัย ลุกลามไปทั่วร่างกาย
พอมองเรือนหินของหลินสวินอีกครั้ง หลายคนต่างเผยสีหน้าสับสน
ทุกคนต่างรู้ว่า ต่อไปคงไม่มีใครกล้าท้าทายหลินสวินอีกแล้ว และการดูแลเป็นพิเศษที่ ‘มอด’ ตัวนี้ได้รับ ก็จะดำเนินต่อไป…
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนผิดหวังมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตของหลินสวินก็กลับมาสงบอีกครั้ง ผ่านทุกวันไปกับการฝึกปราณอย่างเต็มที่
เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการฝึกปราณอย่างสงบเช่นนี้…