Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1432 อัดอั้นจนช้ำใน

ตอนที่ 1432 อัดอั้นจนช้ำใน

ซ่งอู๋เชวีย

อัจฉริยะที่ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่ง บุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ผงาดขึ้นมาในสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้โดดเด่นด้านการบำเพ็ญที่ถูกมองว่าหายากในพันปี

ในค่ายทัพจักรวรรดิตอนนี้ ความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของเขาอยู่หนึ่งในห้าเลยเชียว!

ตอนนี้คนที่เป็นแกนนำพุ่งขึ้นยอดเขาหมายจะคิดบัญชีกับหลินสวินก็คือคนผู้นี้

ตอนที่รู้ข่าวนี้ พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างนั่งไม่ติดและเร่งรีบขึ้นยอดเขาไป

พวกเขารู้ดีว่าซ่งอู๋เชวียนอกจากเป็นอัจฉริยะบำเพ็ญมรรคที่มีชื่อเสียง ยังเป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน!

ความแข็งแกร่งของเขา ไม่ต้องสงสัยมาตั้งนานแล้ว

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สืออวี่ หนิงเหมิงประหลาดใจคือ ซ่งอู๋เชวียเป็นคนเก็บตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งใดๆ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นแกนนำไปโจมตีหลินสวินเสียได้

เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ หรือ

เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายขนาดนี้

ระหว่างทางขึ้นเขา พวกสืออวี่เห็นผู้คนมากมายมีสีหน้าตื่นเต้น อยากรู้อยากลอง ท่าทางเหมือนมาดูความครื้นเครง

ไม่นานก็มาถึงยอดเขา

บนยอดเขาเมฆครามหมอกเมฆปกคลุม ไอม่วงพลุ่งพล่าน ประหนึ่งที่พำนักของเทพเซียน

ยอดเขามีเพียงเรือนหินสองหลัง หลังหนึ่งเป็นของราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ ตอนนี้นางไม่อยู่

อีกหลังเป็นของหลินสวิน จ้าวซิงเย่เตรียมไว้ให้หลินสวินโดยเฉพาะ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เช่นนี้เป็นที่อิจฉาตาร้อนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

เพราะทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาเมฆาครามเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสมรภูมิกระหายเลือด และตรงตำแหน่งยอดภูเขาก็เป็นสถานที่มงคลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แม้เป็นอริยะก็ไม่สามารถปฏิเสธความดึงดูดในการมาฝึกปราณที่นี่ได้

แต่ตอนนี้หลินสวินได้รับผลประโยชน์เช่นนี้

เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ยุติธรรม มีสิทธิ์อะไร

ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียยืนอยู่หน้าเรือนหินที่หลินสวินอยู่ เงาร่างของเขาผอมซูบ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ตัวตรงดุจกระบี่คม การแต่งกายเรียบง่าย แต่กลับแผ่ไอแห่งความเฉียบคมที่น่ากลัวดุร้ายชวนกดดัน

กลุ่มผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ห่างออกไป สีหน้าฮึกเหิมยากจะกักเก็บ

พวกเขาทนมานานแล้ว!

ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนหาเรื่องตัวมอดอย่างหลินสวิน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับซ่งอู๋เชวีย ทำให้พวกเขาคาดหวังว่าความแค้นอันใหญ่หลวงจะถูกเอาคืน

พวกองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงและฉินเฟยอวี่ก็อยู่ในนั้นด้วย

เพียงแต่จ้าวจิ่งเฟิงกลับประหลาดใจเล็กน้อย อดสื่อจิตไม่ได้ ‘เจ้าเกลี้ยกล่อมซ่งอู๋เชวียอย่างไร ข้าจำได้ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมีเรื่องและไม่เคยยุ่งเรื่องความขัดแย้งใด มีแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปราณอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น’

ฉินเฟยอวี่เผยรอยยิ้มมั่นใจ ‘ข้าบอกเขาเพียงว่า สองปีหลังจากนี้ หลินสวินจะไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในฐานะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของฝั่งจักรวรรดิแทนที่หลี่ตู๋สิง’

‘แล้วเขาก็ตอบรับเลยหรือ’ จ้าวจิ่งเฟิงอึ้ง

ฉินเฟยอวี่พยักหน้า ‘ซ่งอู๋เชวียขาดอะไรตรงไหน เอาแต่หมกมุ่นคลั่งไคล้การฝึกปราณที่สุด ปีที่แล้วตอนที่รู้ว่าหลี่ตู๋สิงจะเป็นตัวแทนค่ายทัพจักรวรรดิไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค เขาก็ไปหาถึงที่ ดวลกับหลี่ตู๋สิงรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นหลินสวินเท่านั้น’

จ้าวจิ่งเฟิงงุนงง จุ๊ปากชื่นชม ‘ซ่งอู๋เชวียถือเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ’

ฉินเฟยอวี่ยิ้มพูด ‘เช่นนี้จึงจะดูออกว่าหลินสวินมีความสามารถแค่ไหนกันแน่ ตั้งแต่เขาเข้ามาในภูเขาเมฆาครามก็แทบไม่เคยออกจากเรือน และไม่เคยลงแรงเพื่อจักรวรรดิ กลับได้รับความโปรดปรานจากท่านจ้าวซิงเย่ ดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้ทุกคนไม่พอใจตั้งนานแล้ว’

หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อ ‘ตอนนี้ซ่งอู๋เชวียมาหาถึงที่ หากหลินสวินสามารถสกัดการท้าทายครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าไม่…’

จ้าวจิ่งเฟิงหัวเราะเยาะ ‘หากสกัดไม่อยู่ เขาหลินสวินไม่เพียงขายหน้า ยังกระตุ้นให้ทุกคนขึ้งโกรธโดยสมบูรณ์ มองเขาเป็นมอดที่ทุกคนรังเกียจ ถึงตอนนั้นแม้ท่านอาข้าออกหน้า ก็คงไม่สามารถปกป้องมอดตัวนี้ได้!’

ฉินเฟยอวี่กล่าว ‘ที่องค์ชายเจ็ดพูดถูกต้องอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อไปหลินสวินจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการดูแลพิเศษเช่นนั้นอีก’

“หลินสวิน ยังไม่ออกมารับศึกอีกหรือ”

หลายเสียงกำลังตะโกนราวกับกลัวว่าจะไม่วุ่นวายพอ

พวกสืออวี่ หนิงเหมิงขมวดคิ้ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะซ่งอู๋เชวียมาท้าทายอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่มีใครสามารถขวางได้

‘จำพวกใส่ไฟพวกนั้นให้ดี ต่อไปหาโอกาสจัดการพวกเขาซะ!’ สืออวี่ยิ้มสื่อจิต ในคำพูดกลับแฝงความชิงชัง

‘แน่นอนอยู่แล้ว’

หนิงเหมิงยิ้มเยาะ ‘ความอิจฉาทำให้คนน่ารังเกียจ คนพวกนี้กล้าคิดไม่ซื่อกับหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าถูกเพลิงริษยาครอบงำไปแล้ว’

ไม่ได้ให้ทุกคนรอนาน ประตูเรือนหินที่ปิดสนิทถูกเปิดออก หลินสวินที่ปิดด่านมานานหลายเดือนปรากฏตัวในสายตาของทุกคน

เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางนิ่งสงบ สายตากวาดมองทุกคนแล้วหยุดที่ซ่งอู๋เชวีย

ตั้งแต่กลับโลกชั้นล่างหลินสวินไม่ได้เจอเรื่องเช่นนี้มานานมากแล้ว การตอบสนองแรกของเขาคือ อีกฝ่าย…

โง่หรือเปล่า

ควรรู้ว่าในค่ายแห่งนี้ คนเดียวที่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้คือจ้าวซิงเย่

อีกทั้งวันแรกที่เขามาถึงก็ใช้ฝ่ามือสะบัดใส่หน้าองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงไปสองที พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้กลับยังมีคนแสดงตัวออกมาท้าทาย นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่โง่ ก็คงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือ

คิดถึงตรงนี้หลินสวินรู้สึกไร้ความน่าสนใจ พลันพูดตรงๆ “ไม่กลัวตาย?”

ซ่งอู๋เชวียยังไม่ทันบอกจุดประสงค์การมาของตนเอง ถึงขั้นยังไม่ทันพูดแม้แต่ประโยคเดียวก็ได้ยินคำถามเช่นนี้ จึงอดชะงักไม่ได้

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างผิดคาด คำถามนี้ตรงเกินไป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ติดจริงๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดจะต่อว่า โจมตี กล่าวโทษและประณามตัวมอดอย่างหลินสวินสักหน่อย เพื่อช่วยเสริมซ่งอู๋เชวีย

แต่ประโยคเดียวของหลินสวิน เพียงสามคำ ก็โจมตีพวกเขาจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

ความรู้สึกนั้นเหมือนงานเลี้ยงที่ตั้งใจเตรียมยังไม่ทันเริ่ม ก็มีคนประกาศว่าจะเก็บงาน น่าเดือดดาลและขัดเคืองใจเกินไปแล้ว

“กลัวตาย” สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ หลังจากซ่งอู๋เชวียจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองก็กลัวตาย

ทำลายความองอาจของตัวเองเกินไปแล้ว!

ความคาดหวังที่ความแค้นอันใหญ่หลวงกำลังจะถูกชำระในใจทุกคนพลันถูกสกัดกั้นไว้ในอกทันที มีความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูก

หลินสวินเองก็อึ้ง หยุดมองซ่งอู๋เชวียแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “กลัวตายแล้วยังไม่รีบไปอีกหรือ”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ซ่งอู๋เชวียตอบกลับอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลสักนิด

ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินครั้งแรก เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายข่มขวัญใดๆ แต่ตอนที่หลินสวินถามสามคำนั้นออกมา ซ่งอู๋เชวียกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างกะทันหัน

ราวกับถูกการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตจับจ้อง ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวเขาเกร็งขึ้นมา กระสับกระส่ายอย่างที่สุด จิตใจยิ่งแบกรับความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

เขาตัดสินทันทีว่า หากลงมือตนจะต้องแพ้แน่ จึงยอมแพ้อย่างว่องไว

เพียงแต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนทั้งลานพูดไม่ออก เหมือนกินแมลงวันตายเข้าไปไม่มีผิดเพี้ยน สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด

ก่อนหน้านี้พวกเขาระดมผู้คนมามากมาย ต่างฮึกเหิมพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น มีท่าทีว่าวันนี้จะสามารถกำจัดตัวมอดอย่างหลินสวินระบายความแค้นในใจ

เพื่อการนี้พวกเขารวมตัวกันมา ล้วนอยากเห็นจุดจบที่หลินสวินถูกโจมตีจนยับเยิน ถึงขั้นเตรียมพร้อมว่าตอนที่หลินสวินพ่ายแพ้จะเหยียบซ้ำให้หนัก หักหน้าเขา ให้เขารู้ว่าจุดจบของการเป็นมอดน่าอนาถแค่ไหน

แต่ไม่เคยคิดว่าแค่การสนทนาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาไม่กี่คำ ซ่งอู๋เชวียก็สู้ไม่ไหวแล้ว!

เปิดเรื่องอย่างยิ่งใหญ่ แต่จบอย่างไม่น่าสนใจ ฟ้าร้องดังฝนแผ่วก็เป็นเช่นนี้แหละ!

ผู้แข็งแกร่งหลายคนอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด ซ่งอู๋เชวียทำเช่นนี้ได้อย่างไร

ส่วนฉินเฟยอวี่และจ้าวจิ่งเฟิงรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับยากจะเชื่อ ในใจเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน

ซ่งอู๋เชวียยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร

เขาเป็นถึงบุคคลกร้าวแกร่งที่พลังต่อสู้จัดอยู่ในห้าอันดับแรกของค่าย เคยดวลกับหลี่ตู๋สิงยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี!

ยอมแพ้ได้อย่างไร

ทุกคนนิ่งงันสับสนอยู่ท่ามกลางสายลม

แม้แต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงยังเผยสีหน้าตะลึงว่าทำเช่นนี้ก็ได้หรือ

มีเพียงหลินสวินที่ในใจแอบชื่นชม นับว่าเป็นคนที่ใช้ได้ สังเกตได้ว่าไม่เข้าทีก็ตัดสินใจทันที ปล่อยวางได้ไม่ยึดติด

“ก่อนไปข้ามีเรื่องหนึ่งอยากทำ”

จู่ๆ ซ่งอู๋เชวียก็พูดขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งลาน หลายคนตื่นเต้นขึ้นมา

ฉินเฟยอวี่ยิ่งท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพูด “ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก ควรเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”

ชิ้ง!

พลันเห็นซ่งอู๋เชวียชักกระบี่ออกมากะทันหัน คมกระบี่ราวกับน้ำที่สะอาดสดใสในฤดูใบไม้ร่วง ส่องแสงเย็นเยียบอันรุนแรงสะดุดตาท่ามกลางแสงท้องฟ้า

ส่วนปลายกระบี่ กลับชี้ไปที่ฉินเฟยอวี่!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่เพียงทำให้ทั้งลานผิดคาด เกือบจะร้องตกใจออกมา แม้แต่ฉินเฟยอวี่ยังแข็งทื่อไปทั้งตัว ลูกตาแทบหลุดออกมา

เขาเพิ่งจะพูดว่า ‘ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก’ ผลคือ… หนึ่งกระบี่กลับแทงมาเช่นนี้!

กะทันหันเกินไป ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก

ปัง!

คมกระบี่ม้วนกลับด้วยความไวที่เหลือเชื่อ ทะลวงการป้องกันและสกัดกั้นของฉินเฟยอวี่ ตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงที่ทึบหนัก ฉินเฟยอวี่ถูกตบจนปลิวไปทั้งตัวราวกับว่าวที่สายป่านขาด ร่วงลงข้างหน้าผาตกสู่ทะเลเมฆ

ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงตะโกนที่เดือดดาล งุนงง และเจ็บปวดของเขา สะเทือนจนทะเลเมฆเป็นคลื่นขึ้นมา ดังก้องท้องฟ้า

ผู้แข็งแกร่งทั้งลานที่ตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงขนลุกซู่ขึ้นมา ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาพวกเขาเองก็ตกใจ

ใครก็คิดไม่ถึงว่าการท้าทายที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน กลับจบลงที่ฉินเฟยอวี่ถูกโจมตี…

เหลือเชื่อเกินไป!

เสียงชิ้งดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซ่งอู๋เชวียเก็บกระบี่แล้วหันไปประสานหมัดให้หลินสวินไกลๆ โดยไม่อธิบายอะไร พูดเพียงว่า “ล่วงเกินเสียแล้ว” ก็หมุนตัวจากไป

ทุกคนยังคงจิตใจงงงวย

มีเพียงจ้าวจิ่งเฟิงที่รู้ดีว่า กระบี่นี้ของซ่งอู๋เชวียเป็นการแสดงความไม่พอใจและตักเตือนฉินเฟยอวี่!

“ทุกท่านเชิญกลับไปเถอะ”

หลินสวินพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วหมุนตัวกลับเรือนหินไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยลงมือ แต่ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ ซ่งอู๋เชวียไม่ใช่คนที่ชอบหยอกคนเล่นแน่

ที่เขาล้มเลิกการท้าทาย คงเพราะสังเกตเห็นและเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว!

ทันใดนั้นความอัดอั้นและความไม่จำยอมที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยในใจทุกคนแปลงเป็นความสงสัย ลุกลามไปทั่วร่างกาย

พอมองเรือนหินของหลินสวินอีกครั้ง หลายคนต่างเผยสีหน้าสับสน

ทุกคนต่างรู้ว่า ต่อไปคงไม่มีใครกล้าท้าทายหลินสวินอีกแล้ว และการดูแลเป็นพิเศษที่ ‘มอด’ ตัวนี้ได้รับ ก็จะดำเนินต่อไป…

ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนผิดหวังมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตของหลินสวินก็กลับมาสงบอีกครั้ง ผ่านทุกวันไปกับการฝึกปราณอย่างเต็มที่

เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการฝึกปราณอย่างสงบเช่นนี้…

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท