หลังผ่านไปสองสามวัน ลมพัดเบาๆ ฝนตกอย่างหนัก
ลู่ฝานเดินอยู่ในป่า น้ำฝนหลีกไปข้างตัวเขาโดยอัตโนมัติ ทุกที่ที่ผ่านไป สายฝนไม่โดนตัวเลย
“สิบสาม นายไม่ต้องตามฉันตลอดก็ได้ ตอนนี้นายถึงสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว นายเลือกอยู่ที่นี่ได้”
สิบสามเดินตามเป็นจังหวะ อยู่ด้านหลังลู่ฝาน
ตั้งแต่ลู่ฝานกลับมา สิบสามก็ติดตามข้างกายเขาเหมือนเงา ไม่ว่าเขาไปไหน สิบสามก็จะตามหลังเขาตลอด นี่ทำให้ลู่ฝานปรับตัวไม่ค่อยได้
สิบสามส่ายหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ
ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “นายไม่ชอบคณะหนึ่งเดียวเหรอ”
สิบสามส่ายหน้าอีก
ลู่ฝานพูดว่า “ในเมื่อชอบ ทำไมไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”
ในที่สุดสิบสามก็พูดออกมา คำง่ายๆ เพียงสองคำ
“เจ้านาย”
ลู่ฝานส่งเสียงตอบว่าอืม รอคำพูดต่อไปของสิบสามเงียบๆ
แต่รออยู่นาน สิบสามก็ไม่พูดต่อ ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “อะไรต่อ”
สิบสามพูดอย่างเฉยชาว่า “เจ้านาย”
คำพูดเหมือนกันไม่มีผิด ครั้งนี้ลู่ฝานฟังเข้าใจแล้ว
“นายจะบอกว่า เพราะฉันเป็นเจ้านายของนาย นายจึงจะติดตามฉันใช่ไหม”
สิบสามพยักหน้าอย่างแรง
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายนี่หัวรั้นจริงๆ นะ”
ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า เขาเดินลงเขาอวิ๋น
ตรงตีนเขามีหอคอย เป็นลานประลองบู๊ที่คณะหนึ่งเดียวสร้างขึ้นใหม่
พูดขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงของคณะหนึ่งเดียวหนึ่งปีมานี้ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกปลงเล็กน้อย
ย้อนกลับไปตอนเข้าเพิ่งเข้าคณะหนึ่งเดียว นั่นคือความลำบากแสนเข็ญอย่างแท้จริง
ทั้งคณะหนึ่งเดียว ขนาดกินข้าวยังต้องไปล่าเหยื่อเอง พวกศิษย์พี่หานเฟิงแทบจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าสักตัว
ดูตอนนี้สิ คณะหนึ่งเดียวกลายเป็นคณะที่เหมือนกับคณะอื่นแล้ว
ตึก ศาลาต่างๆ วางเรียงราย สิ่งก่อสร้างต่างๆ ปรากฏขึ้นมา กินดื่มเที่ยวเล่นครบครัน
พวกลู่ฝานไม่มีเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนที่เข้ามาใหม่จะไม่มีเงินเหมือนกัน
นักเรียนที่สามารถเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวร่ำรวย ไม่มีเงินไม่สอน ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนหลิงเหยา ที่ออกมาจากชุมชนแออัดได้ นั่นจำเป็นต้องมีปาฏิหาริย์
“สวัสดีศิษย์พี่ลู่ฝาน!”
นักเรียนสองสามคนโค้งทำความเคารพลู่ฝาน ทุกที่ที่เดินผ่าน มีแต่คนคำนับให้
ลู่ฝานก็ทำความเคารพกลับ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่านักเรียนพวกนี้ คนที่เข้ามาในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ล้วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลว
ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ห้าของพวกเขา ลู่ฝานเป็นคนที่ไม่วางมาดอะไรเลย
สองสามวันมานี้ ทุกคนที่มาขอคำแนะนำอย่างถ่อมตัว ลู่ฝานล้วนแนะนำให้ทั้งนั้น คนที่มาขอลายเซ็น ลู่ฝานก็เซ็นให้ทั้งหมด ทุกคนที่จะมานอน……แค่กๆ อันนี้คงต้องตัดทิ้งไปเลย
เดินออกมาจากประตูเขา ฮ่วนเย่ว์เดินสวนกลับมา
ลู่ฝานเห็นฮ่วนเย่ว์ ก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “วันนี้ไปคณะไหนมาอีก”
ฮ่วนเย่ว์ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “คณะกระบี่ ฉันซัดเสวียนเฟิงจนลุกขึ้นมาไม่ได้เลย อย่างน้อยเขาต้องนอนอยู่บนเตียงประมาณหนึ่งเดือน”
ลู่ฝานคิ้วกระตุก พูดชมว่า “ฝีมือดีมาก”
ฮ่วนเย่ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว คิดว่านายได้ผลดีที่คุกน้ำคนเดียวเหรอ หึ พรุ่งนี้ฉันจะไปคณะฟ้าร้องต่อ ถ้าหลัวตานลุกขึ้นมาไม่ได้ ฉันจะซัดคนอื่นในคณะพวกเขาให้แบน”
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา แล้วเดินไปอย่างห้าวหาญทรงพลัง
สองสามวันมานี้ ฮ่วนเย่ว์ที่ไม่สบายใจ ไปท้าสู้ตัวต่อตัวกับคณะอื่นทีละคณะ
ท้าสู้ตัวต่อตัวที่ว่า ก็คือเธอคนเดียวท้าคนของคณะหนึ่ง ยิ่งกว่าที่ลู่ฝานทำในตอนแรกอีก ใครมาก็ซัดคนนั้นจริงๆ
แต่พละกำลังของฮ่วนเย่ว์แข็งแกร่งจริงๆ สองสามวันมานี้ พวกคณะกำแหง คณะนานา คณะศิงขร ล้วนโดนเธอซัดมารอบหนึ่