เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1031
อีกทั้งเพราะการต่อสู้ต่อเนื่องกันสิบวัน ทำให้เขารู้สึกว่าวิทยายุทธของตัวเอง มีความก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว
ในเวลาสิบวัน สองสามวันแรกมีคนท้าประลองมากที่สุด
แต่วันต่อๆ มา คนท้าประลองก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่คนที่มากลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ผู้อ่อนแอไม่กล้าขึ้นลานประลอง ผู้แข็งแกร่งยังพิจารณาอยู่ เมื่อวานทั้งวัน ลู่ฝานสู้กับนักบู๊แค่คนเดียว
ตอนนี้ระดับของเขา สามารถต่อสู้กับนักบู๊แดนปราณดินได้แล้ว ถ้าเป็นเพียงแดนปราณดินทั่วไป ไม่มีวิชาที่แข็งแกร่งหรือวิธีพิเศษอะไร ลู่ฝานสามารถชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่น ซูเฉียนแห่งตระกูลซูเมื่อวานนี้ ฝึกแค่เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินขั้นต้นเพียงสองเล่มเท่านั้น คิดจะต่อสู้กับเขา ลู่ฝานส่งเขาลงจากลานประลองบู๊ เพียงแค่สามกระบี่เท่านั้น! เกราะปราณทั้งตัวแล้วยังไง ก็ทำลายได้เหมือนเดิม
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานเสียดายคือ จนถึงตอนนี้แปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อก็ยังไม่มาสู้กับเขา
เมื่อสิบวันก่อน เขาสัญญากับองค์ชายรองฉินฝานเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าฆ่าแปดผู้โดดเด่นได้ ถึงจะได้ผลประโยชน์
แต่สิบวันมานี้ เหมือนแปดผู้โดดเด่น โดนขังไปพร้อมกับไท่จื่อ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นแม้แต่คนเดียว
ลู่ฝานถอนหายใจในใจ ขณะนั้นเจ้าดำกระโดดขึ้นมาบนลานประลอง เอาเหล้ามาให้ลู่ฝานหนึ่งเหยือก
ลู่ฝานลืมตาขึ้น ลูบหัวเจ้าดำ จากนั้นดื่มเหล้าอึกเล็กๆ
เหมือนช่วงนี้เจ้าดำกินจนอ้วนแล้ว อาจเป็นเพราะกินดีอยู่ดีตอนช่วงที่โดนผู้อาวุโสโม่เอาไป ตัวจึงอ้วนขึ้นมาก
อู่คงหลิงก็ไปตั้งแต่เจ็ดวันก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปทำอะไร
ครั้งนี้เธอไม่ได้บอก ลู่ฝานก็ไม่ได้ถาม
แต่ลู่ฝานรู้ดีว่าพวกเขาจะเจอกันอีก อีกทั้งอู่คงหลิงยังทิ้งของให้ลู่ฝานหนึ่งอย่าง นั่นคือป้ายหมายเลขห้องของโรงเตี้ยม
อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็รู้ว่าจะไปหาเธอที่ไหน!
“หลีก หลีก รีบหลีกไป คนของจวนไท่จื่อมาแล้ว!”
ทันใดนั้น มีเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาจากกลุ่มคน
ด้านล่างเวทีประลอง คนพากันแยกออกเหมือนสายน้ำ
ลู่ฝานจิตใจวูบไหว คนของจวนไท่จื่อเหรอ ใช่แปดผู้โดดเด่นหรือเปล่า!
ลู่ฝานวางเหยือกเหล้าลง ลุกขึ้นยืนมองไปไกลๆ
เพียงแวบเดียว ลู่ฝานเห็นคนแปดคนเดินมาอย่างองอาจห้าวหาญ คนที่เดินนำมาเหมือนกับมังกรคลั่ง ถึงห่างกันขนาดนี้ ลู่ฝานยังได้กลิ่นความอาฆาตจากตัวเขา
แปดผู้โดดเด่น แปดผู้โดดเด่นมาจริงๆ ด้วย
ลู่ฝานฉีกยิ้ม แอบพูดในใจว่า “ดีใจจริงๆ ที่มา!”
“พวกผู้ตรวจการแปด ยังมีคุณสามด้วย พระเจ้า คนที่นำมาคือจางกวัง นักกระบี่มังกรคลั่งเหรอ”
“ใช่ ใช่พวกเขาจริงๆ ด้วย วันนี้มีอะไรสนุกให้ดูแล้ว แปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อมากันหมดแล้ว!”
ทุกคนตะโกนเสียงหลง ทันใดนั้นกลุ่มคนเบียดกันเป็นกลุ่มก้อน ยืดคอมองไปไกลๆ
แต่ทางด้านหน้าพวกจางกวัง ไม่มีใครขวางสักคน ทั้งแปดคนเดินมาถึงด้านล่างลานประลอง
องครักษ์เกราะดำปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง เลื่อนเก้าอี้มาแปดตัว เพื่อให้ทั้งแปดคนนั่ง
ทั้งแปดคนเงยหน้ามองลู่ฝาน แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกัน
มีทั้งจริงจัง ดูถูก เฉยเมย เหยียดหยาม
ในบรรดาคนพวกนั้น ลู่ฝานเห็นเหรินเจียงที่โดนตัวเองต่อยจนบาดเจ็บ ตอนนี้แขนของเขายังพันผ้าอยู่เลย กำลังมองมาที่ลู่ฝานด้วยใบหน้าโกรธแค้น
ทุกคนกลั้นหายใจ เงียบกันหมด
ลู่ฝานสบตาทั้งแปดคนอย่างราบเรียบ ไม่มีความกลัวสักนิด!
ลู่ฝานค่อยๆ พูดว่า “ในที่สุดพวกนายก็มา!”
จางกวังมองลู่ฝานอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “นายกำลังรอพวกเราอยู่เหรอ”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ใช่ รอพวกนายมาหลายวันแล้ว”
จางกวังหัวเราะออกมา ใบหน้าเกล็ดมังกรที่มีมาแต่เกิดของเขา เมื่อเขาหัวเราะขึ้นมา มันดูชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความอาฆาต
“คิดไม่ถึงเลยว่าจิตใจที่ปรารถนาในความตายของนาย จะแรงกล้าขนาดนี้!”
จางกวังยื่นนิ้วชี้ออกมาชี้ลู่ฝานแล้วพูดขึ้น
กระบี่หนักของลู่ฝานปักอยู่บนพื้น เอาสองมือไพล่หลังแล้วพูดว่า “นายจะขึ้นมาลองไหม ดูสิว่าใครจะตาย”
จางกวังหัวเราะแล้วพูดว่า “นายอยากให้ฉันลงมือ งั้นต้องดูว่านายมีคุณสมบัติหรือเปล่า”
เมื่อพูดจบ จางกวังนั่งลงไป สะบัดมือเรียกคนที่อ้วนที่สุดในบรรดาแปดคน
ทันใดนั้นเจ้าอ้วนคนนี้เดินออกมา
เขาสูงประมาณสองเมตรกว่า อ้วนแต่ไม่มีไขมันส่วนเกิน ทั้งตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง
ถือค้อนใหญ่สองอันในมือ เดินโงนเงนมาข้างหน้าไม่กี่ก้าว จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนเวที
พลั่ก!
เมื่อลงสู่พื้น ลานประลองแตกเป็นรอยร้าวทันที
การต่อสู้หลายวันนี้ ทำให้ลู่ฝานเปลี่ยนลานประลองไปหลายอันแล้ว ดูเหมือนวันนี้ก็ต้องเปลี่ยนอีก!
“ฉันสวี่ฉู วันนี้ให้ฉันสั่งสอนนายก่อน อย่าคิดว่านายเอาชนะเหรินเจียงได้ ก็จะไม่มีใครสู้นายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสองสามวันก่อน เราช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เหรินเจียง นายตายคาค้อนฉันไปนานแล้ว!”
ได้ยินเสียงของเจ้าอ้วน มีเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นด้านล่าง
“สวี่ฉู! อันดับสามของแปดผู้โดดเด่น คนเรียกกันว่าสวี่ฉู ค้อนกำหนดฟ้าดิน”
“ได้ยินว่าเขามีพละกำลังไม่ธรรมดาตั้งแต่เกิด มีความห้าวหาญชาญชัย!”
“วิทยายุทธทั้งตัวยิ่งน่ากลัว เขาน่าจะอยู่แดนปราณดินระดับสุดยอด!”
การพูดคุยด้านล่างยังไม่ทันจบ เริ่มมีเกราะปราณก่อตัวขึ้นบนตัวสวี่ฉู
เป็นวิทยายุทธแดนปราณดินจริงๆ ด้วย!
“แดนปราณดิน! สวี่ฉูก็เข้าสู่แดนปราณดินแล้ว!”
เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นเป็นระลอก สวี่ฉูมองลู่ฝานอย่างยโสแล้วพูดว่า “จะเอาชีวิตนายภายในสามกระบวนท่า!”
ลู่ฝานหยิบกระบี่หนักไร้คมขึ้นมา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “เชิญ!”