ยอดเขาสูงตระหง่าน วิถีบู๊สว่างระยิบระยับ
จวนแต่ละจวนที่นี่ เป็นสัญลักษณ์วิถีบู๊ของผู้แข็งแกร่งแต่ละท่าน
ในตำนานมีแค่ผู้แข็งแกร่งแดนหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ที่ประเทศอู่อาน ไปสู่เป้าหมายวิถีบู๊สูงสุด ถึงจะสามารถทิ้งการถ่ายทอดของตัวเองไว้บนเขาวิถีบู๊ได้
ตอนที่พวกเขาตายและสูญเสียวิถี ทิ้งเชื้อเพลิงที่ไม่มีวันดับไว้ให้ประเทศอู่อาน หลายปีมานี้ ช่วยนักบู๊อายุน้อยเปลี่ยนแปลงร่างกายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จนสำเร็จไปตั้งเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เรียกได้ว่าเข้ามาในเขาวิถีบู๊แล้วไม่ได้อะไร ก็เท่ากับเข้ามาในคลังสมบัติ แล้วกลับไปมือเปล่า นั่นเป็นพฤติกรรมที่น่าอายมาก คนจำนวนมากอยากเข้ามาแต่ไม่สามารถเข้ามาได้!
เมื่อจวนเหล่านี้ปรากฏขึ้น แรงกดดันที่น่ากลัวออกมาจากทั่วทุกแห่ง
ราวกับพริบตาเดียว ทุกคนรู้สึกว่ายกเท้าเดินลำบากมาก มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคนจำนวนไม่น้อยทันที
“นี่คือพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ในตำนาน เป็นการกดขี่ที่ก่อตัวจากความตั้งใจก่อนตายของผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน แข็งแกร่งจริงๆ! ทุกคนต้องต้านทานให้ได้ ถ้าล้มลงตอนนี้ ก็เท่ากับมาเขาวิถีบู๊เสียเที่ยว จำไว้ว่าก่อนปรับตัวให้เข้ากับพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ห้ามใช้พลังปราณใดๆ ทุกคนเดินช้าๆ ขึ้นไปข้างบน ยิ่งเดินขึ้นไป พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊จะยิ่งลดลง”
จู่ๆ เทียนชิงหยางพูดตะโกนเสียงดังขึ้นมา
เขาเพิ่งตะโกนจบ นักบู๊สองสามคนกระอักเลือดล้มลงบนพื้น พลังปราณปั่นป่วนไปทั้งตัว
เห็นได้ชัดว่าสองสามคนนี้เพิ่งใช้พลังปราณ จึงโดนพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ซัดจนพินาศ ตอนนี้พลังแว้งกัดจนสลบไปทันที
ป้ายประจำตัวในอกของพวกเขาสว่างขึ้นทันที หลังจากนั้นสองสามคนลอยไปด้านหลัง ร่วงลงนอกเขาวิถีบู๊
ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือกด้วยความหวาดกลัว จากนั้นมองเทียนชิงหยางด้วยสายตาซาบซึ้ง
ถ้าเทียนชิงหยางไม่เอ่ยปากเตือน คงไม่รู้ว่าในบรรดาพวกเขา จะโดนขับไล่ออกจากเขาวิถีบู๊ตั้งกี่คน
ทันใดนั้น เทียนชิงหยางสร้างความประทับใจให้ทุกคนได้
เดินช้าๆ ทุกคนเริ่มต้านทานพลังกดดัน ค่อยๆ เดินขึ้นไปด้านบน
แต่ละก้าวจะมีเหงื่อหยดลงบนพื้น หลังจากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาวิถีบู๊ไม่มีเส้นทาง มีเพียงแถวของรอยเท้าที่ชัดเจน ที่คาดเดาโดยคนรุ่นก่อนท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่ม
ทุกคนเดินตามรอยเท้าพวกนี้ขึ้นไปด้านบน แต่กลับมีหนึ่งคนที่ยังไม่ขยับ
รอจนทุกคนเดินไปได้หลายสิบก้าว ยังพบว่าคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น
ถูกต้อง คนเดียวที่ยังไม่ขยับก็คือลู่ฝานอีกแล้ว!
แต่ครั้งนี้ใช่ว่าลู่ฝานไม่อยากขยับ แต่เขาไม่สามารถขยับได้ต่างหาก
พลังกดดันอันน่ากลัว กำลังอัดร่างกายของเขาอย่างสุดชีวิต
ลู่ฝานสัมผัสได้ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่พลังฟ้าดิน ไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นเขตวิถีบู๊
คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเขตวิถีบู๊ขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไป!
ลู่ฝานไม่กล้าแม้กระทั่งกะพริบตา เพราะเขากลัวว่าถ้าตัวเองหลับตาแล้วจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก
เปลือกตาหนักจนน่ากลัว ทั้งตัวไม่มีส่วนไหนที่ไม่ปวด ตอนนี้ลู่ฝานกัดฟันอดทนไว้ เขาไม่เข้าใจว่าคนอื่นยังเดินได้อย่างไร
หรือเขตวิถีบู๊นี้มีพลังกดดันอย่างหนักกับเขาเพียงคนเดียว!
เทียนชิงหยางที่เดินอยู่หน้าสุด ยังสามารถหันมามองเขาได้ เมื่อเห็นลู่ฝานยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เทียนชิงหยางหัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายจะเล่นกลอุบายอีกแล้วเหรอ ที่นี่ไม่ใช่สะพานสายรุ้งนะ สนุกเหรอ”
ลู่ฝานไม่ได้ตอบเขา เขาอยากตอบก็ตอบไม่ได้ ยังยืนอยู่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
พวกหานหยวนหนิงก็หันกลับมา ยิ้มอย่างดูหมิ่นใส่ลู่ฝาน
นักบู๊สองสามคนที่ปากไม่ดี หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน อย่าบอกนะว่านายเดินไม่ไหวแล้ว”
“ฉันว่าเมื่อกี้เขาไม่ฟังคำพูดคุณชายเทียนแน่ๆ ใช้พลังปราณ ตอนนี้กำลังทนกับการแว้งกัดอยู่”