บทที่ 17 บุคคลสำคัญจะมาหลงเจียง
ตระกูลเถีย
ลานกว้างอันโอ่อ่า
ทุกพื้นที่ป้องกันอย่างแน่นหนา
ขบวนรถหยุดจอดที่หน้าประตู เถียหนิงซวงลงจากรถมาก่อน มองไปยังฉินเทียนที่นั่งนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว เธอกัดฟันแน่น แล้วพูดว่า
“ทางที่ดีคุณควรรักษาอาการป่วยของคุณปู่ฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันสาบาน ว่าจะไม่ปล่อยคุณไว้แน่ !”
คนที่เย่อหยิ่งอย่างเธอ เป็นครั้งที่สองติดต่อกันของวัน ที่ถูกให้ต้องยอมรับกับความพ่ายแพ้ต่อหน้าฉินเทียนชายแปลกหน้าคนนี้
และยังถูกบังคับให้ต้องก้มตัวเพื่อเสิร์ฟน้ำชา ในใจก็จึงมีความกรุ่นโกรธอยู่ภายใน
เมื่อเทียบกันแล้วบูซานดูจะสงบนิ่งกว่า
เพราะได้รับการฝึกฝนมาจากทหาร แม้สีหน้าของฉินเทียนจะดูสงบนิ่ง แต่ก็รู้สึกได้ถึงความทรงพลังอำนาจ และความน่าเกรงขามจากร่างกายของฉินเทียน
“คุณฉิน ภรรยาและแม่ยายของคุณ ฉันได้ให้คนส่งกลับไปที่บ้านอย่างปลอดภัยแล้ว”
“คุณวางใจได้ ขอแค่คุณสามารถรักษานายท่านให้หายได้ ฉันรับปากแทนตระกูลเถีย ในหลงเจียง จะไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเธอแม้แต่ปลายเล็บ ”
ฉินเทียนยิ้มเยาะ“แค่หลงเจียง มีอะไรให้ต้องเอ่ยพูดถึง”
“ในโลกนี้ ใครกล้าที่จะแตะต้องคนของฉินเทียน ล้วนสมควรตาย!”
หลังจากที่ลงจากรถ ก็ไม่แม้แต่จะมองการคุ้มกันที่เข้มงวดบริเวณโดยรอบเลยสักนิด เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
เถียหนิงซวงระงับความโกรธ วิ่งนำหน้าเพื่อนำทาง
พ่อบ้านรีบเข้ามารายงานอย่างร้อนรน “คุณหนู นายท่านไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน ไปที่หอสมรภูมิแล้วครับ”
“คุณปู่เพิ่งหายจากอาการป่วย แล้วไปที่หอสมรภูมิทำไม ?”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ท่านสั่งเอาไว้ ให้คุณหนูพาคุณฉินไป ท่านจะรออยู่ที่นั่น”
เมื่อได้ยินดังนั้น เถียหนิงซวงอดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังฉินเทียนด้วยความประหลาดใจ
หอสมรภูมิ เป็นเพียงห้องที่ไม่ได้น่าสนใจอะไร บนพื้นที่ในลานกว้าง เป็นห้องที่ถูกดัดแปลงมาจากห้องพระ
แม้จะไม่ได้น่าสนใจ แต่หากเป็นคนในตระกูลเถีย ต่างก็รู้ว่าหอสมรภูมินั้นมีความหมายยังไง นั่นคือความเชื่อและศรัทธาของนายท่านเถีย!
โดยปรกติแล้วก็แทบจะเป็นเหมือนสถานที่ต้องห้าม
แม้แต่เถียหนิงซวงผู้ซึ่งเป็นถึงหลานรักของนายท่าน หากไม่ได้รับอนุญาต ก็เข้าไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
นายท่านกลับรอฉินเทียนอยู่ที่หอสมรภูมิ? ไม่แปลกที่เถียหนิงซวงจะรู้สึกประหลาดใจ
บูซานที่อยู่ใกล้ๆมีท่าทีตกใจ พูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยว่า“คุณฉิน เชิญตามผมมาทางนี้ครับ!”
เขาเชิดหน้ายืดอกตรง เดินนำอยู่ด้านหน้า หอสมรภูมิ ไม่เพียงเป็นความเลื่อมใสศรัทธาของเถียสง แต่ยังเป็นความเลื่อมใสศรัทธาของเขาด้วย
เพราะเขาเป็นเหมือนกับเถียสง ต่างเป็นคนที่มีความดีความชอบในสนามรบ
เลือดที่ไหลเวียนอยู่เป็นของวีรบุรุษนักรบที่อยู่ท่ามกลางศึกสงคราม มีความศรัทธาที่อยากจะปกป้องประเทศอย่างที่สุด
ใบหน้าฉินเทียนมีรอยยิ้ม ตามบูซานกับเถียหนิงซวง มาถึงที่ลานด้านหลัง
“คุณฉิน คนแก่หงำเหงือกรอนานมากแล้ว ”
หน้าประตูห้องที่ดูไม่ได้น่าสนใจอะไร มีเถียสงยืนอยู่
สุขภาพร่างกายของเขายังดูดีใช้ได้
“คุณปู่ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบทหารตัวเก่าล่ะคะ ? ”เถียหนิงซวงวิ่งเข้าไปหาด้วยความประหลาดใจ
เห็นเพียงเถียสง แม้จะมีผมสีขาวแกมเทา และยังมีอาการป่วยอยู่ แต่ในตอนนี้ที่ใส่ชุดนักรบพยัคฆ์อยู่บนร่างกาย เหยียดตัวหลังตรง โดยไม่รู้ตัว ก็มีความฮึกเหิมอหังการขึ้นมา
ดาบที่เก่าแต่ยังคมกริบ ยังสามารถที่จะบั่นคอของศัตรูได้!
“สวัสดีครับท่านแม่ทัพ!”บูซานน้ำตาเอ่อคลอ ทำท่าแสดงความเคารพในแบบปฏิบัติที่ถูกต้อง
สายตาของเถียสงมองไปยังใบหน้าของฉินเทียน พูดเสียงเข้ม“หนิงซวง บูซาน เฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้รับอนุญาต ใครก็ห้ามเข้าไปด้านในเด็ดขาด ”
“คุณฉิน เชิญ ”
เบี่ยงตัว หลบออกจากประตูทางเข้า
ฉินเทียนพยักหน้าเล็กน้อย เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
กับเถียสงที่แม้จะเกษียณอายุไปแล้ว แต่ยังไม่ลืมจิตวิญญาณที่เคยมี ช่างน่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย
เขามองออกได้ในแวบเดียว ว่าชุดนักรบพยัคฆ์ของเถียสงนี้ เป็นตราสัญลักษณ์ของแดนเหนือ
ในหอสมรภูมิ
สถานที่เดิมที่ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป มีรูปปั้นที่หน้าตาดุร้ายวางเรียงรายกันอยู่
ฉินเทียนกวาดตามอง พูดอย่างขอไปทีว่า“เทพสงครามไป๋ฉี่ ผู้ซื่อสัตย์หยุนฉาง หานซิ่นตรวจแถวทหาร ปาอ๋องเซี่ยงอวี่……”
สายตาหยุดลงที่รูปปั้นตัวสุดท้าย อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มปรากฏ
“เซียวโผหู่อายุยังน้อย ก็ถูกสักการะด้วยป้ายเทพแล้วเหรอ ”
เมื่อได้ยินคำว่า“เซียวโผหู่” เถียสงก็เคร่งขรึมน่ากลัว
“คุณฉิน ระวังคำพูดด้วย !”
“เพราะคุณสามารถมองเห็นมังกรดำสิบแปดมือของบูซาน และรู้ว่าอาการบาดเจ็บของฉันเกิดจากการฝึกฝนหมัดเจ็ดพิการแบบเก่า ฉันสันนิษฐานว่าคุณมาจากเขตสงครามแดนเหนือ”
“พลังปราณของคุณสงบนิ่ง แม้แต่ฉันเองก็มองไม่ออกถึงพลังวิชา ดังนั้นลำดับก็น่าจะไม่ได้ด้อย ”
“เพราะเหตุนี้ ฉันจึงเชิญคุณมาที่หอสมรภูมิ”
“ทำไมคุณถึงเอ่ยเรียกชื่อผู้อาวุโสปรมาจารย์เซียวตรงๆแบบนี้!”
ฉินเทียนหัวเราะและพูดว่า “คุณก็เป็นพลทหารใต้บังคับบัญชาของปรมาจารย์เซียว ?”
เถียสงกล่าว“ ฉันโกรธที่เกิดเร็วไปหลายปี ไม่มีโอกาสได้ติดตามปรมาจารย์เซียว ตอนที่เขาบัญชาการแดนเหนือ ฉันปลดประจำการแล้ว”
“แล้วมันยังไง?”
“ปรมาจารย์เซียวปกป้องชายแดน โจรผู้ร้ายนอกพื้นที่ไม่กล้าข้ามพรมแดนมาแม้แต่ครึ่งก้าว”
“เขารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผู้นำของประเทศประดับยศให้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเทพสงครามไร้พ่าย!”
“ฉินเทียน ยังไม่รีบ ทำความเคารพรูปปั้นปรมาจารย์เซียวพร้อมฉันอีก !”
ขณะที่เถียสงพูด ก็หันไปทางรูปปั้น ทำความเคารพอย่างถูกต้องในแบบทหารด้วยท่วงท่าสง่างามและน่าเกรงขาม
ฉินเทียนพยักหน้าและยิ้ม“เทพสงครามไร้พ่าย……เซียวโผหู่คงต้องจำใจทนรับแล้ว”
“เวลาของผมมีจำกัด อย่าพูดไร้สาระอีกเลย ท่านนายพลเถียสง ตอนนี้ผมจะบอกคุณถึงวิธีการแก้ไขปรับปรุงหมัดเจ็ดพิการหลังเจ็ดวันของคุณ คุณต้องขยันฝึกฝนบ่อยๆ จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บเดิมๆให้หายขาดได้——”
ฉินเทียนกำลังจะสอนวิชาหมัดมวยให้กับเถียสง ไม่คิดว่าเถียสงจะโมโหขึ้นมา
เขาถลึงตามองด้วยความโกรธ พูดเสียงดัง“คุณกล้าดูหมิ่นปรมาจารย์เซียว ก็เท่ากับไม่เคารพแดนเหนือทั้งหมด!”
“ยังไม่รีบคุกเข่าลงตรงหน้าปรมาจารย์เซียว เพื่อคำนับขอโทษอีก!”
“มิเช่นนั้น ต่อให้ฉันต้องป่วยจนตาย ก็จะไม่เรียนวิชาหมัดมวยอะไรนั้นจากคุณ!”
ฉินเทียนยิ้มเยาะและกล่าวว่า“ให้ผมคุกเข่าแล้วคำนับเขา คุณคงต้องลองโทรไปหาเซียวโผหู่ ว่าเขาจะรับมันไหวไหม ”
“นี่คุณพูดอะไร?”
เถียสงนิ่งอึ้ง
ปรมาจารย์เซียวแดนเหนือ นั้นมันราชาแห่งสนามรบ เทพเจ้าแห่งสงครามในใจของเขา
แม่ทัพเก่าอย่างเขา ปรกติก็สักการะเพียงป้ายเทพเพื่อแสดงความเคารพนับถือ
แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เจอะเจอ จะไปรู้เบอร์ของเซียวโผหู่ได้ยังไง ?
นอกจากนี้ เบอร์ของปรมาจารย์เซียว คิดจะโทรก็โทรได้เลยหรือไงกัน ?
“ตกลงนี่คุณเป็นใครกันแน่?”หันมองฉินเทียน ดวงตาของเถียสง แสดงอาการตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
ในตอนนี้เอง ข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
จากนั้น เสียงเคาะประตูที่ร้อนรนก็ดังขึ้นตาม
เถียสงพูดอย่างโกรธเคือง“ ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ใครก็ห้ามรบกวน!”
ด้านนอกประตู มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา “ พ่อครับ ผมเอง”
“มีข่าวสำคัญที่ต้องรายงาน เร่งด่วนมากครับ !”
เถียสงเหลือบมองไปยังฉินเทียนแวบหนึ่ง พูดเสียงเย็นชา“คุณฉิน ขอเวลาสักครู่”
รีบเปิดประตูออกในทันที แล้วเดินออกมา มองดูชายวัยกลางคนตรงหน้า พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า“ เรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?”
“เถียหลินเฟิง อายุป่านนี้แล้ว ยังเป็นถึงเจ้าสมาคมของสมาคม สำรวมกว่านี้หน่อยได้ไหม!”
ชายวัยกลางคน เถียหลินเฟิง ลูกชายคนรองของเถียสง และเป็นพ่อของเถียหนิงซวง
แม้จะเป็นคนถ่อมตน แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้มีอำนาจในสมาคมของหลงเจียง เป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมากนัก
ก่อนหน้านั้นที่ตระกูลซู ซูยู่คุนที่คอยประจบเถียหนิงซวงอยู่ ก็เคยพูดเอาไว้ ว่ามีโอกาสได้ร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าสมาคมเถียครั้งหนึ่ง
อันที่จริงแล้วในครั้งนั้น เขาแค่มากินข้าวด้วย แล้วเถียหลินเฟิงก็แค่เดินผ่าน แล้วดื่มไปกับเขาแก้วหนึ่ง
แม้แต่ซูยู่คุนเป็นใคร เถียหลินเฟิงก็แทบจะจำไม่ได้เลย
บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคสมัยแบบนี้ ต่อหน้าเถียสง กลับถูกตำหนิราวกับเด็กสามขวบ
ทั้งเถียหนิงซวงกับบูซานต่างหลบออกไปไกล ไม่กล้าที่จะแอบฟัง
เถียหลินเฟิงปาดเหงื่อที่หน้าผาก กล่าวด้วยความเคารพอย่างที่สุดว่า“เพราะเรื่องมันใหญ่หลวงมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นลูกก็คงไม่กล้าที่จะรบกวนพ่อแบบนี้ ”
เถียสงขมวดคิ้วและพูดว่า “ มีเรื่องอะไร พูดมาเถอะ”
เถียหลินเฟิงถอนหายใจยาว พูดเสียงเบา“ ได้ข่าวมาเมื่อครู่ มีบุคคลสำคัญจะมาที่หลงเจียง ”