จะให้ยู่หลิงหลงจับอันกั๋วเป็นตัวประกันไปถึงเป่ยเจียงจริงเหรอ? แล้วอย่างนั้นจะต่างอะไรกับการเข้าถ้ำเสือ?
ฉินเทียนพึมพำสักพักก็พุดขึ้นว่า: “หลังจากนายท่านอานส่งเธอถึงเป่ยเจียงแล้วล่ะ?เธอจะปล่อยเขามั๊ย?”
“คิดให้ดี ๆ นะ ถ้านายท่านอานเป็นอะไรไปที่เป่ยเจียง อย่างนั้นฝ่ายเหนือฝ่ายใต้สองฝั่งต้องนองเลือดแน่”
ยู่หลิงหลงสแยะยิ้มเอ่ยว่า: “ฉันมีวิธีของฉัน”
เวลานี้ คนขับรถของเธอก็ขับรถไมบัคเข้ามา
ไม่มีใครกล้าขวาง
ยู่หลิงหลงเปิดประตูรถออก มองดูฉินเทียนพลางหัวเราะเอ่ยว่า: “ฉันไม่ทำร้ายเขาหรอก แต่ว่า เขาจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือเปล่าอยู่ที่นายแล้ว”
“หืม?”
ฉินเทียนพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า: “หมายความว่าอะไร?”
ยู่หลิงหลงหัวเราะเอ่ยว่า: “ภายใน 3 วัน ให้นายไปหอชงเซียงที่เป่ยเจียงเพียงลำพัง นั่นเป็นโอกาสเดียวที่คุณนายจะช่วยเขาได้”
“พวกเราจะรอนายอยู่ที่นั่น”
“จำไว้ นายคนเดียวเท่านั้นนะ”
“นอกจากนายแล้ว คนจากหน่วยความมั่นคงนานเจียง ถ้าใครกล้าย่ำเข้ามาในดินแดนเป่ยเจียงก็รอเก็บศพตาแก่นี่ได้เลย!”
พูดจบ ก็ผลักอานกั๋วอย่างแรงขึ้นรถ แล้วเธอก็กระโดดขึ้นไปด้วย
คนขับรถที่ฝึกมาดีก็รีบสตาร์ทรถ
ไมบัคที่สมรรถนะเหนือล้ำ เหมือนสัตว์ร้ายที่สง่างาม คำรามทะยานออกไปข้างนอก
“เร็ว!”
“ขวางเขาไว้เร็วเข้า!”
คนหมู่มากอุทานขึ้น
ทว่า จะขวางยังไง?
ไม่มีทางเป็นไปได้
มองดูไมบัคทะยานออกไป หูปินก็ร้อนใจเอ่ยว่า: “เร็ว รีบแจ้งพี่น้องที่อยู่ข้างนอก รีบปิดท่าเรือแล้วก็เส้นทางไปยังเป่ยเจียงทุกทาง!”
“พวกนายขึ้นรถ ตามไปกับฉัน!”
“อย่าให้หล่อนไปจากหนานเจียงได้!”
จุยเฟิงเห็นฉินเทียนเงียบขรึมไม่พูดจึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า: “นายคิดอะไรอยู่?”
ฉินเทียนหัวเราะแหย ๆ เอ่ยว่า: “คุณหู อย่าเปลืองแรงเลย เปล่าประโยชน์”
“ยู่หลิงหลงเตรียมการรัดกุมไว้นานแล้ว นายท่านอยู่ในมือของหล่อน พวกเราไล่ตามทันแล้วยังไง?”
หูปินเงียบขรึมลงทำตาดุเอ่ยว่า: “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดแล้วจะทำยังไง?”
“ราชาเป่ยเชียงหลิวเช่อ จิตใจเหี้ยมโหด!”
“ถ้านายท่านตกอยู่ในมือของเขา มีหรือจะรอดเหรอ!”
“คุณหูสั่งการมาเถอะ!”
“หลิวเช่อรังแกกันเกิดไปแล้ว!”
“เราตามไปฆ่าถึงเป่ยเจียง!” คนหมู่มากตะโกนอย่างฮึกเหิม
ฉินเทียนเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า: “ยู่หลิงหลงบอกแล้วว่า หน่วยความมั่นคงย่ำเข้าดินแดนเป่ยเจียงแค่คนเดียวหล่อนก็จะฆ่านายท่านทันที”
“พวกนายอยากให้นายท่านตายเหรอไง?”
คนหมู่มากเงียบลง
“ฉินเทียน แล้วจะทำยังไง?”
“แล้วคุณปู่จะทำยังไง?” หลิ่วหรูยู่เอ่ยพร้อมน้ำตา
สองสามวันที่ผ่านมาตกอยู่ในภาวะล่มสลาย เพิ่งจะได้ดีใจกัน นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้อีก
เธอรับไม่ได้จริง ๆ
ฉินเทียนขมวดคิ้ว
อาศัยตอนที่ผู้คนอลหม่าน จี้เจินค่อย ๆ ปีนขึ้นมาหลบหนีไปข้างนอก
“ชาติหมา ทั้งหมดเป็นเพราะนาย!” หูปินเห็นจี้เจิน ก็โมโห
เขาขว้างมีดในมือออกไปอย่างสุดแรง
เสียงร้องโหยหวน ขาข้างหนึ่งของจี้เจินหัก ล้มลงบนกองเลือด
“พวกนายฆ่าฉันไม่ได้!”
“ฉันให้ข่าวพวกนาย นายท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตฉัน!” เขาปีนป่ายไปข้างนอกอย่างตกใจ
แม้จะไว้ชีวิตเขา แต่ขาก็ขาดไปข้างหนึ่งก็เท่ากับเป็นคนพิการ
ทุกคนขี้เกียจสนใจ
ทั้งหมดมองฉินเทียนด้วยความตื่นเต้น
ฉินเทียนถอนใจเอ่ยว่า: “ยู่หลิงหลงเอ่ยชื่อแซ่ ให้ฉันไปเป่ยเจียงภายใน 3 วันไม่ใช่เหรอ?”
“อย่างนั้นฉันต้องไปหอชงเซียนเสียหน่อยแล้ว”
“วางใจ ฉันจะพานายท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”
“ทำอย่างนั้นได้ยังไง!” หลิ่วหรูยู่รีบปฏิเสธ เอ่ยด้วยสีหน้ากังวลว่า: “เป่ยเจียงมีคนตั้งมากขนาดนั้น นายตัวคนเดียว ไม่เท่ากับไปตายเหรอ?”
“นั่นสิฉินเทียน ไม่ได้หรอก!”
“หาวิธีอื่นดีกว่า” หูปินกับพวกก็ไม่เห็นด้วย
ฉินเทียนยิ้มแหย ๆ เอ่ยว่า: “อย่างนั้นพวกนายบอกฉันที นอกจากนี้ยังมีวิธีไหนอีก?”
คนหมู่มากเงียบ
“อย่างนั้นตกลงตามนี้”
“วันนี้พักผ่อนเต็มที่สักหน่อย พรุ่งนี้ออกเดินทาง”
“ถอดผ้าสีขาวพวกนี้ออกให้หมด เห็นแล้วรู้สึกวังเวง”
“จริงสิ——” เขามองไปที่จุยเฟิงแล้วหัวเราะเอ่ยว่า: “นายนี่ซ่อนตัวมิดชิดขนาดนี้ ตอนนี้ฉันจะไปเป่ยเจียง แล้วสภาพที่นั่นเป็นยังไงเหรอ”
“ราชาลับ ให้ข้อมูลละเอียดกับฉันหน่อยได้มั๊ย?”
สีหน้าจุยเฟิงเฉยเมย พูดด้วยความเย็นชาว่า: “ก่อนออกเดินทาง นายจะเห็นข้อมูลทุกอย่างของเป่ยเจียง”
“ได้” ฉินเทียนฉีกยิ้มมุมปาก
ยู่หลิงหลงเป็นคนรักของราชาเป่ยเจียงหลิวเช่อหลายปีมานี้ ซ่อนตัวอยู่ข้างกายอานกั๋วมาตลอด และกลายเป็นหนึ่งในสี่ราชา
ตอนนี้ เธอจับอานกั๋วเป็นตัวประกันไปเป่ยเจียง แล้วทำไมต้องเลือกเขาให้ไปช่วยเพียงคนเดียว?
เกี่ยวกับหลิวเช่อและยู่หลงหลิง ฉินเทียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงอยากไปดูด้วยตาตัวเอง
เรื่องมาถึงขั้นนี้ คนหมู่มากต่างเป็นกังวล
แต่ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า
ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ฉินเทียน
หวังว่าเขาจะพลิกสถานการณ์ได้ ปืนเดียวกับม้าหนึ่งตัว พาอานกั๋วกลับมาอย่างปลอดภัย
เพียงแต่ศึกครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้ว่ามันโหดร้ายแค่นี้
ทว่าพวกเขา ได้แต่รออยู่ที่หนานเจียง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย
“คุณฉิน พักผ่อนให้เต็มที่!”
“ไม่ว่าภารกิจนะสำเร็จหรือไม่ เราหน่วยความมั่นคงหนานเจียงต่อไปจะถือว่าคุณเป็นผู้มีเกียรติของเรา
“ต่อไปตราบชั่วชีวิตนี้ ฉันขอถวายหัวพลีกาย ตายก็ไม่เสียดาย!”
พอหูปินกับพวกพูดจบ ก็ไม่กล้ารบกวนฉินเทียนพักผ่อน ต่างไปทำธุระอย่างอื่น
“ฉันจะไปเตรียมตัวบางอย่าง พรุ่งนี้ จะส่งนายไปเป่ยเจียงเอง!”
จุยเฟิงตบบ่าฉินเทียน แล้วก็เหลียวเดินออกไป
คฤหาสถ์ตระกูลอัน วังเวงไปหมด ท่าทางทุกคนเร่งรีบ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อความมืดย่างกราย หลิ่วหรูยู่จัดแจงให้ฉินเทียนอยู่ห้องรับแขกในลานเรือนส่วนตัวของเธอ
ที่นี่ยิ่งเงียบสงัด ไม่มีใครกล้ามารบกวน
ภายในห้อง มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว
คล้ายกลิ่นในตัวของหลิ่วหรูยู่
ฉินเทียนนั่งขัดสมาธิบนเตียง เริ่มแรกจิตใจฟุ้งซ่านเล็กน้อย
แต่พอสวดพระสูตร ไม่นาน สูดลมหายใจเข้าออกสลับกัน เข้ากับท่วงทำนองฟ้าดินอย่างแผ่วเบา
ตัวคนก็เข้าสู่สภาวะหนึ่งเดียวกับอากาศ
พรุ่งนี้จะไปเป่ยเจียงแล้ว
ทว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเป่ยเจียงเลย
ดังนั้น เขาต้องหล่อเลี้ยงจิตใจให้ดี
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในความเงียบสงัด ดวงจิตที่ว่างเปล่าของเขา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังเข้ามา
แม้เสียงจะเบา แต่ก็หนีไม่พ้นสัมผัสของเขาได้
ขณะที่เขาอยู่ในสภาวะรวมเป็นหนึ่งกับอากาศ ดวงจิตที่ว่างเปล่าของเขา ก็เปรียบเหมือนผิวทะเลสาบที่เงียบสงบ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ บริเวณรอบ ๆ ก็สะท้อนเข้ามา
เขาลืมตาขึ้น
เห็นเพียงประตูห้องค่อย ๆ ถูกเปิดออก เงาที่นิ่มนวลอ่อนช้อยเดินเข้ามา
กลับเป็นหลิ่วหรูยู่
ในมือของเธอถือกาสุรากาหนึ่ง เพิ่งเดินเข้ามาจึงยังปรับตัวกับความมืดในห้องไม่ได้ มุ่งไปทางเตียงพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า: “ฉินเทียน นายหลับหรือยัง?”
ฉินเทียนรีบเปิดไฟที่หัวเตียงขึ้นเอ่ยว่า: “คุณมาได้ยังไง?”
“มีธุระเหรอ?”
หลิ่วหรูยู่เห็นใบหน้าหล่อเหลาใบนี้ก็หน้าแดงเล็กน้อย
เธอลังเลอยู่สักพักก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วว่า: “พรุ่งนี้นายไปเป่ยเจียงเพียงลำพัง หูปินกับจุยเฟิง และทุกคนในตระกูลอัน จะไปส่งนายที่ท่าเรือ”
“ฉันไม่อยากไป ดังนั้นคืนนี้จึงส่งนายด้วยกาสุรา 1 กา ถือเป็นการเลี้ยงส่งนายแล้วกัน”
“การไปครั้งนี้อันตราย นายต้องรอดกลับมาให้ได้!”
พูดเสร็จ ดวงตาก็ปริ่มด้วยน้ำตา ความห่วงใยที่เกิดขึ้นจากใจ อำพรางกันไม่ได้