สถานที่หล่อเลี้ยงจิตใจ เป็นสถานที่บำเพ็ญธรรมแห่งแรกที่ตระกูลฉินสร้างขึ้น
เล่ากันว่าคนที่ก่อตั้งคือนักพรตอัจฉริยะของตระกูลฉินคนที่แล้ว เนื่องจากฝึกกงฟูมากเกินไป จนบ้าๆ บอๆ ตอนหลังที่เขาได้พบกับนักชวชที่เดินทางไปทั่ว แนะนำจนเขาลุ่มหลง
หลังจากที่บรรพบุรุษผู้นั้นฟื้นขึ้น ก็ได้สร้างสถานที่บำเพ็ญธรรมที่นอกเมือง ตั้งชื่อว่า“หล่อเลี้ยงจิตใจ”
ประวัติของตระกูลฉิน เพื่อเป็นการเคารพในความเชื่อของบรรพบุรุษผู้นั้น จึงได้ออกเงินซ่อมแซมสถานที่หล่อเลี้ยงจิตใจแห่งนี้
นักบวชที่รวมตัวในที่นี่ในปัจจุบัน หากพูดถึงธรรมะ ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการบำเพ็ญธรรม
ภูเขาด้านหลัง ภายในห้องที่เงียบสงบมาก
เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินเทียนจนจบสิ้น ฝ่ายตรงข้าม ชายวัยกลางคนที่มีผิวขาว ผมยาวก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดว่า:“เจ้านี่เดี๋ยวนี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้วเหรอ?”
“กล้าที่จะแสดงอำนาจกับนายหญิงใหญ่แล้ว”
เขามองไปแล้วเหมือนพวกเด็กเรียน แต่ว่า หางตาและคิ้วที่สวยงาม แต่กลับเผยถึงความอำนาจแบบไม่รู้ตัว
เสมือนกับว่ามีความเป็นชนชั้นสูงและอำนาจในสายเลือด
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น หากว่าไม่มีปลายหางตาที่ละเอียด รับรองต้องมีหญิงมาติดมากเป็นแน่
แม้กระทั่งวัยกลางคนตอนนี้ ยังเต็มไปด้วยเสน่ห์
ต้องบอกว่าผู้ชายคนนี้ “สวย” มากจริงๆ
เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของฉินเทียน เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนายหญิงใหญ่ เป็นสายเลือดรุ่นที่สองของตระกูลฉิน ในนามคือเจ้าบ้านของตระกูลฉิน ชื่อฉินฉี
เพียงแค่ว่า หากจะพูดถึงเจ้าบ้าน ในตระกูลฉินตอนนี้ ตั้งแต่เจ้านายจนถึงลูกน้อง ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา
อันดับแรก นายหญิงใหญ่ไม่ชอบลูกชายคนนี้
บอกว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่รับหน้าที่ เรื่องของตระกูล ทำให้นายหญิงใหญ่มักจะชอบเข้ามายุ่ง โดยไม่เคยปรึกษากับฉินฉีเลย
ไม่เพียงแต่เรื่องการงานที่ไม่ได้เรื่องแล้ว เรื่องส่วนตัวของตัวเองด้วย ฉินฉียังจัดการเรื่องของตัวเองได้ไม่ดีด้วย
ภรรยาแรกตายไปนานแล้ว ภรรยาคนปัจจุบันก็ฉลาดแกมโกง มีลูกชายสองคน คนหนึ่งตะลอนอยู่ข้างนอก อีกคนหนึ่งก็กระทําตามใจชอบ พูดง่ายๆ ก็คือ ลูกคนรวยที่เอาแต่ใจ
เขาก็จัดการเองไม่ได้
ภายใต้ความเหนื่อยหน่ายนั้น ทำได้เพียงแค่มาหลบในสถานที่หล่อเลี้ยงจิตใจ ไม่ถามเรื่องภายนอก
ในสายตาของคนภายนอก ก็เป็นแค่นกกระจอกเทศที่เอาหัวไปมุดทรายไว้
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินฉี ถงจิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า:“เจ้าบ้าน สำหรับผลลัพท์นี้ คุณจะชื่นชมหรือว่าผิดหวังดี?”
ฉินฉีหัวเราะอย่างเย็นชาว่า:“เจ้านั่นต่อให้แน่แค่ไหน ยังไงก็เป็นเด็กอยู่ดี”
“ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เขารู้ว่าโลกนี้มันโหดร้ายแค่ไหน”
ถงจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดลองใจว่า:“ดังนั้น คุณก็เลยไม่คิดที่จะรับเขากลับมา?”
หนังตาของฉินฉีกระตุกแล้วพูดว่า:“ทำไมถึงพูดแบบนี้?”
“เขาไม่ได้นับฉันเป็นพ่อมาตั้งนานแล้ว?”
“ใช้คำพูดเดิมของเขา ฉันไม่สามารถสืบทอด แถมยังดูแลลูกเมียของตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นคนที่ล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น”
“เจ้านั่นดูถูกฉัน หากฉันไปรับ ยังไงเขาก็ไม่กลับมาอยู่ดี”
“จะไปทำเรื่องที่ให้ตัวเองอับอายทำไม”
ถงจิ่งหัวเราะ ดวงตาแก่คู่นั้น มีแววตาของความสนุกแฝงไว้ในนัยน์ตาที่ลึก
“เจ้าบ้าน ฉันพูดด้วยความสัจจริง”
“คุณกับนายหญิงใหญ่ เกลียดนายน้อยแบบที่พูดออกมาจริงๆ จนกระทั่งถึจะฆ่าแกงกันได้เลยเหรอ?”
ฉินฉีอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำว่า:“ราชาถงจิ่ง นายหมายความว่ายังไง?”
ราชาถงจิ่งหยิบมากขึ้นมา จากนั้นก็กินหมากทหารของฉินฉี
พูดราวกับไม่ตั้งใจว่า:“ทำไมผมถึงรู้สึกว่า คุณกับนายหญิงใหญ่ ร่วมมือกันเล่นหมากกระดานใหญ่กันอยู่?”
“หมากตัวนี้ก็คือนายน้อย ที่ดูว่าตอนนี้พัฒนาสำเร็จแล้ว”
ฉินฉีก้มมองหมากในกระดาน จากนั้นลงหมากอย่าเงียบๆ แล้วพูดว่า:“ยังไม่ถึงเวลา”
“ราชาถงจิ่ง นายใจร้อนไปหน่อย”
“ระเบิด พลิกสถานการณ์”
ถงจิ่งมองหมากตัวนั้นแม่ทัพของตัวเองในกระดานที่โดนระเบิดจนเกลี้ยง จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
“ดูเหมือนว่า ผมตื่นเต้นไปจริงๆ ”
“เฮ้อ หลายปีมานี้นั้น ที่ผมได้เห็นนายน้อยเติบใหญ่มาถึงตอนนี้ ผมทั้งปวดใจแล้วก็ชื่นชม!”
“ผมไม่กล้าคิดเลยว่า หลายปีมานี้ นายน้อยต้องลำบากมากเท่าไหร่ ถึงค่อยๆ เดินมาถึงจุดนี้ได้”
“เขาโตมากแล้วจริงๆ !”
พูดไป ขอบตาของเขาก็มีน้ำตาระรื้นขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่พูดมาจากใจ เป็นทั้งความรักและความห่วงใยของอาวุโส
ฉินฉีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นยังคงเดินหมากในกระดานต่อ พูดนิ่งๆ ว่า:“ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลฉิน ต่อให้ต้องน้อยใจขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรอยู่แล้ว”
“ราชาถงจิ่ง วันนี้ นายพูดมากจริง”
เมื่อถงจิ่งได้สติ ก็รีบเปลี่ยนสีหน้า ไม้พูดถึงฉินเทียนอีก จากนั้นตั้งใจลงหมากในกระดานต่อ
……
ส่วนฉินเทียนที่พาเถียหนิงซวงและหม่าหงเทากลับมาที่หลงเจียง
เพื่อพาพวกเขามาส่งที่สวนสัตว์ร้าย จากนั้นเขาก็พูดกับฉานเจี้ยน ถงชวน เถียปี้เสร็จ จากนั้นเขาก็ขับรถกลับไปที่อุทยานมังกร
เมื่อเข้าสู่อุทยานมังกรนั้น ฉินเทียนก็อดที่จะอึ้งไม่ได้
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เมื่อมองไปยังคฤหาสถ์หลังนั้นที่หยางยู่หลันอยู่ไกลๆ ก็เห็นแสงไฟสว่างไปหมด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะรอดมาจากด้านใน
เสียงนั้น เป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย
เขาไปข้างนอกทั้งวัน วันนี้ที่บ้านมีแขกมา?
ในเมืองมังกร ปกตินอกจากหลินเซวี่ย กงลี่และหลิวชิงแล้ว เขาจำได้ว่าหยางยู่หลันกับซูซู ไม่มีแขกคนอื่น
หยางยู่หลันชอบความเงียบสงบ ปกติเวลากลับมา ก็มีเธอกับหม่าเซวี่ย ทั้งสองคนเงียบมาก
จนกระทั่ง ขับรถก่อนหน้าที่จะเข้ามา เห็นเงาที่คุ้ยเคยอยู่ที่หน้าประตู
รวมทั้งเห็นเงาที่ชัดเจนของอีกฝ่าย ฉินเทียนถึงกับต้องอึ้งไปอีกครั้ง
หยางหลิน?
นี่ลูกชายของอาซูซูไม่ใช่เหรอ หยางหลินอยู่ฉู่โจวไม่ใช่เหรอ?
เขามาที่นี่ได้ยังไง?
เมื่อเห็นเขาลงมาจากรถ หยางหลินก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า :“ฉินเทียน นายกลับมาแล้ว!”
จากนั้น เขาก็ตะโกนเข้าไปในห้องว่า:“พ่อครับแม่ครับ คุณปู่คุณย่า น้องเขยฉินเทียนกลับมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน พวกเขาก็ออกมาจากในห้อง
เมื่อได้เห็นฉินเทียน นอกจากหยางยู่หลันกับหม่าเซวี่ย ก็ยังมีพ่อแม่ของหยางยู่หลันด้วย นั่นก็คือตาและยายของซูซู หยางเต๋อกวงกับเจิงหงซิ่ว
รวมถึงพี่ชายและพี่สะใภ้ของหยางยู่หลัน นั่นก็คือลุงและป้าสะใภ้ของซูซู หยางเซินกับหลี่เฟิน
เทศกาลฉงหยางเมื่อก่อน หยางยู่หลันพาฉินเทียนและซูซู ไปที่บ้านแม่ที่ฉู่โจว
ในตอนแรกฉินเทียนไม่ถูกคนในครอบครัวยอมรับ แถมยังเกิดความเข้าใจผิดกันอีกด้วย แน่นอนว่า ตอนหลังก็แก้ไขได้
ตอนนั้น ที่เพิ่งเจอกับการหักหลังและไร้ความปราณีของคนตระกูลซูซู ฉินเทียนก็หวงแหนความอบอุ่นและความรักของคนในครอบครัวหยางยู่หลัน
ต้องบอกว่า คนในครอบครัวนี้ดีกับหยางยู่หลันและซูซูมากจริงๆ
พร้อมกับ มองฉินเทียนเป็นคนในครอบครัวด้วย
เมื่อเห็นพวกเขา ฉินเทียนรู้สึกปลาบปลื้มปีติ แล้วรีบพูดว่า:“ยาย ตา ลุง ป้าสะใภ้ พวกท่านมาที่นี่ตอนไหนครับ?”
“ผมไม่รู้ เลยไม่ได้มาต้อนรับ”
หลี่เฟินจิบปากและหัวเราะว่า:“ฉินเทียน ตอนนี้รู้ว่านายกับซูซูยุ่งกันอยู่มาก”
“นายก็อย่าไปโทษแม่ยายล่ะ หลังจากที่พวกเรามาถึงหลงเจียงแล้ว ถึงได้โทรศัพท์หาเขา”
“อย่าว่าแต่นายเลย ตอนนี้ซูซูยังไม่รู้เลย ฉันยังไม่ได้ให้แม่เธอบอก รอเธอกลับมาก่อน ค่อยเซอร์ไพรส์”
หยางเซินหัวเราะแล้วพูดว่า:“ฉินเทียน ได้ข่าวว่านายออกไปทำงานข้างนอก ไปทั้งวัน เหนื่อยไหม?”
“รีบเข้าบ้านเถอะ”
“มาในครั้งนี้ พวกเธออย่ารำคาญก็แล้วกัน พวกเราคงมาอยู่กันสักพัก อาจจะอยู่ยาวถึงหลังตรุษจีน”
ฉินเทียนรีบพูด:“ลุง พูดอะไรแบบนั้น!”
“ที่นี่มีหลายห้อง พวกคุณอยู่นานยิ่งดีเลย”
“ทุกคนรีบเข้าบ้าน”
“พี่ เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของหยางหลิน ฉินเทียนก็อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ไม่มีอะไร ฉินเทียน พวกเรารีบเข้าบ้านกันเถอะ”
“ฉันอยากจะมีโอกาสไปพบถงชวนเจ้าหมอนั่นสักหน่อย”
ฉินเทียนพยักหน้าแล้วพูดว่า:“วันนี้มืดแล้ว พรุ่งนี้ผมจะเรียกถงชวนเข้ามา”
“พี่ ไม่เป็นไรจริงๆ นะ?”
เมื่อเห็นคนอื่นกลับไปที่ห้องแล้ว ฉินเทียนจับมือหยางหลินไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ
ความรู้สึกมันบอกเขาว่า คนทั้งครอบครัวที่จู่ๆ ก็มาจากฉู่โจวพร้อมกัน ต้องมีอะไรแน่ๆ