บัญชามังกรเดือด บทที่ 418 การสู่ขอล้มเหลว
พอเห็นสีหน้าจริงจังของจี้ซิง ฉินเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเคารพในวิชายุทธ ที่อยู่ในใจของเขา
แรงจูงใจแอบแฝงในการฝึกฝน แตกต่างจากจอมยุทธส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เบียดเบียนคนอื่น หรืออาศัยสิ่งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ
จี้ซิงเทิดทูนแและเคารพในวิชายุทธอย่างแท้จริง
ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางฝึกฝนกระบวนท่าของตระกูลมากมายขนาดนี้ได้จนถึงขั้นสูงสุด แถมยัง ผสมผสานผลิกแพลงได้อีก
ช่วยไม่ได้ ฉินเทียนเก็บท่าทีขี้เล่นกลับไป แล้วตั้งสมาธิอยู่กับการโต้กลับ
เมื่อเห็นว่าวิชาหมัดและวิชาขา ไม่สามารถล้มฉินเทียนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ จี้ซิงก็หยุดชะงัก
ฉินเทียนเอ่ยกลั้วหัวเราะ: “จบแล้วเหรอ?”
“นายฟังฉันนะ ถ้าหลิวชิงเหยาชอบนายจริงๆ คงยอมรับนายไปแล้ว”
“ไม่อย่างนั้น นายทำอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”
จี้ซิงเอ่ยเสียงเย็น: “แกคิดเยอะไปแล้ว ตอนนี้คือสังเวียนของฉันกับแก ไม่เกี่ยวกับหลิวชิงเหยา หรือเกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
พูดจบ เขาก็สาวบาร์เบลความยาวกว่าสองเมตร น้ำหนักกว่าสิบกิโลกรัมด้ามหนึ่งขึ้นมา ร้องย้าหนึ่งเสียง แล้วพุ่งเข้าหาฉินเทียน
ฉินเทียนเหงื่อตก
ไอ้หมอนี่ชักจะหาอาวุธเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?
เขาเริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน เหวี่ยงตัว หลบเจ้าด้ามเขื่องนี้ แล้วยกดัมเบลล์
หนักสิบกิโลกรัมสองลูกขึ้นมาด้วยสองมือ
ลืมบอกไป ดัมเบลล์มีด้ามจับอยู่ตรงกลาง และน็อตเหล็กตรงปลายทั้งสองด้าน
ใช้เป็นค้อน ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้แล้ว
ชิ้ง!
ชิ้ง!
เขาใช้ดัมเบลล์ตีบาร์เบลที่อยู่ในมือของจี้ซิง ภายในห้องออกกำลังกายที่กว้างขวาง ร้อนระอุขึ้นมาในทันตา
เมื่อได้ยินเสียงแบบนี้ หัวใจของทุกคนที่อยู่ด้านนอกก็บีบรัดขึ้นมา
ซินเฉียงกับเลขาหลี่รุ่ย ลุ้นให้จี้ซิงใช้ด้ามเหล็กทุบฉินเทียนให้ตาย พอเป็นแบบนี้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกไล่ออก
ด้ามบาร์เบลล์ในมือจี้ซิง ใช้การได้อย่างช่ำชอง พอโจมตีด้วยเพลงตะบองเส้าหลินไปรอบหนึ่งเสร็จ ก็เปลี่ยนกระบวนท่าทันที นำด้ามเหล็กมาเป็นทวน โดยใช้เพลงทวนของตระกูลหยาง
เพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็นเพลงดาบ เพลงกระบี่
กระทั่งสุดท้าย กระบวนท่าที่ใช้คือง้าวแหลมของหลู่ปู้ฟางเทียน
ฉินเทียนได้เปิดโลกทัศน์อีกครั้ง
ดัมเบลล์ในมือทั้งสองข้าง สะบัดลอยขึ้นไปกำบังด้านบน
พิจารณาจากรูปร่างของทั้งคู่แล้ว ดูผอมบางมาก แต่วินาทีนี้ แต่ละคนกลับถืออาวุธหนักกว่าสิบกิโล ไม่มีผลกระทบเรื่องความเร็วไม่พอ กลับกลายเป็นว่าว่องไวขึ้นทุกขณะ
เป็นการต่อสู้ที่แปลกแหวกแนวจริงๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง และแล้วจี้ซิงก็หยุดลง หอบหายใจนิดๆ
แต่ว่า สายตาของเขา กลับส่องสว่างยิ่งขึ้น
ราวกับคมมืดที่ผ่านการอาบเลือดสดๆ มาเล่มหนึ่ง
เขาจ้องมองฉินเทียน อย่างกับสัตว์ร้าย ได้เจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริง กำลังไตร่ตรองอยู่ว่า จะใช้พลังโกลาหลดีไหม
ฉินเทียนยิ้มพูด: “ใช้วิธีไก่กาพวกนี้ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“นายน้อย ได้ยินมานานว่าตระกูลจี้ของนายมีวิชายุทธที่ตกทอดกันมา ตอนนี้ นายยังไม่ยอมใช้มันอีกเหรอ?”
จี้ซิงเอ่ยอย่างดุดันว่า: “แกเป็นคนแรกที่บีบให้ฉันใช้ท่าไม้ตายได้”
“เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือนแก เมื่อไรก็ตามที่ใช้วิชายุทธของตระกูลจี้ ในสายตาฉัน ไม่มีมิตร มีแต่ชัยชนะเท่านั้น”
“และชัยชนะของฉัน มักสื่อถึงความตายของศัตรูเสมอ”
ฉินเทียนเข้าใจว่าจี้ซิงหมายถึงอะไร เมื่อไรก็ตามที่ใช้ท่าไม้ตาย เขาจะมีสมาธิจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
จนกระทั่ง คร่าชีวิตศัตรูในที่สุด
ท่าทีของเขาครั่นครามขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เอ่ยว่า: “สามารถเห็นวิชายุทธตระกูลจี้เป็นขวัญตา ถึงตายก็ไม่เสียดาย”
“ดี!”
นัยน์ตาของจี้ซิง ฉายแววเคารพ
นั่นคือการให้เกียรติคู่ต่อสู้ และเป็นการให้เกียรติตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือการให้เกียรติสายวรยุทธด้วย
สองมือของเขากำบาร์เบลกว่าสิบกิโล ค่อยๆเงื้อขึ้น แล้วเดินเข้าไปฟาดฉินเทียนช้าๆ
ฉินเทียนแววตาแข็งกร้าว
เมื่อครู่ จี้ซิงสะบัดกวัดแกว่งบาร์เบลราวกับพายุโหม แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความง่ายสบายๆ
ตอนนี้ กระบวนท่าที่ดูสะเปะสะปะนี้ กลับทำให้เขาเหมือนได้เจอศัตรูตัวฉกาจ
ยกของหนักเหมือนของเบา!
ยกของเบาเหมือนของหนัก!
ที่แท้นี่ต่างหาก คือแก่นแท้ของวิชายุทธตระกูลจี้!
เขาโต้ตอบอย่างระมัดระวัง
ที่น่าแปลกมากๆ คือ เมื่อครู่ทั้งสองตีรันพันตูอลหม่าน ดัมเบลล์ที่อยู่ในมือทั้งสองของฉินเทียน กระทบกับบาร์เบลล์ในมือจี้ซิงตลอดเวลา โช้งเช้ง โช้งเช้ง ดุเดือดเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ ทั้งสองดูจะเก้ๆ กังๆ
ออกกระบวนท่าไปได้ครึ่งเดียว ก็เปลี่ยนกระบวนท่าใหม่อยู่บ่อยครั้ง
การที่อาวุธในมือไม่กระทบกันอีก คล้ายกับไม่ตั้งใจปะทะกัน ก็คือการล่าถอย ดังนั้น ห้องยิมที่โล่งกว้าง พลันเงียบสงบลงทันใด
“เกิดอะไรขึ้น?”
“คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ?” จ้าวเทียนจีสีหน้าแปรเปลี่ยน อยากจะพังประตูเข้าไปแทบทนไม่ไหว
ฉินเทียนคือผู้มีพระคุณของตระกูลจ้าว จี้ซิงคือนายน้อยตระกูลจี้ สองคนนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องกับใครก็ตาม สำหรับตระกูลจ้าว ล้วนตกที่นั่งลำบากทั้งนั้น
“นายท่านสาม อย่ารีบร้อน”
เสียงนิ่งเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาฝูพ่อบ้านเฒ่าคนสนิทของจี้ซิงยืนอยู่ทางด้านหลัง
เขาจ้องมองห้องออกกำลังกาย แววตาสาดแสงวูบ เอ่ยเสียงเบาว่า: “หากไม่ผิดไปจากคาด ตอนนี้ การต่อสู้ที่แท้จริง
“บีบให้นายน้อยใช้วิชายุทธตระกูลจี้ได้เชียวเหรอ คุณฉินนี่ สมกับเป็นคุณฉินจริงๆ!”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็พากันงงงวย
แต่ว่า คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายลึกลับบางอย่าง ทุกคนหยุดพูด ฟังอยู่เงียบๆ มีเสียงดังแว่วออกมาจากห้องยิมครั้งสองครั้ง
พอผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศอึมครึมอย่างน่าประหลาด
ทุกคนเหมือนถูกน้ำเต้ากรอกจนท่วมปาก
หลิวชิงเหยาทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดอย่างเหลืออดว่า: “ฉันจะเข้าไปดูข้างใน!”
เธอหยิบขวานนิรภัยด้ามหนึ่งจากใกล้ๆ ขึ้นมา ตั้งท่าจะพังประตู
เป็นเวลาเดียวกับที่ ประตูถูกดึงเปิดจากด้านใน จี้ซิงปรากตัวอยู่หน้าประตู
“นายน้อย เป็นยังไงบ้างครับ?” อาฝูถามด้วยความตื่นเต้น
จี้ซิงเป่าลมหายใจหนึ่งเฮือก พลันจับไหล่หลิวชิงเหยาเอาไว้ แล้วตะโกนหน้าตาตื่นว่า: “ผมแพ้แล้ว!”
“ชิงเหยา ผมแพ้แล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดผมก็แพ้ได้สักครั้ง!”
ทุกคนยกเว้นอาฝู อึ้งกันตาแตก
นายน้อยตระกูลจี้คนนี้ คงไม่ได้ถูกตีจนเอ๋อไปแล้วหรอกนะ?
แพ้แล้ว ควรมีท่าทีแบบนี้เหรอ?
หลิวชิงเหยาอ้าปากเหวออยู่พักใหญ่ กว่าจะเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อหูว่า: “แพ้แล้ว ทำไมต้องดีใจ?”
จี้ซิงเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจว่า: “เพราะแพ้แล้ว จะได้ก้าวหน้าไง!”
“คุณไม่รู้หรอก ผมอยากแพ้สักครั้ง อยากมาตั้งนานแล้ว!”
“วันนี้ได้สมใจจริงๆ ในที่สุดผมก็แพ้สักที!”
อาฝูยิ้มตาหยีพูดว่า: “ยินดีด้วยครับ นายน้อย”
“นายน้อยครับ ครั้งนี้ คุณคิดวาต้องใช้เวลานานเท่าไร ถึงจะวิเคราะห์กระบวนท่านั้นที่คุณแพ้ได้?”
จี้ซฺิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า: “น่าจะ สักเดือนหนึ่งมั้ง”
“ชิงเหยา เรารีบไปกันเถอะ!”
“ผมอยากกลับไปศึกษา อีกหนึ่งเดือน ค่อยมาท้าดวลกับฉินเทียนใหม่!”
หลิวชิงเหยาเห็นฉินเทียนที่ยิ้มเกลื่อนอยู่ด้านหลัง เธอก็ตะคอกใส่จี้ซิงอย่างหัวเสียว่า: “ไอ้คนไร้ประโยชน์!”
“นายทำฉันโมโหสุดๆ เลย!”
พูดจบ ก็โยนขวานทิ้ง แล้วสะบัดก้นเดินดุ่มๆ ออกไปเลย
“ชิงเหยา!” จี้ซิงรีบวิ่งตามไป
เขายังไม่ลืมหันหน้ากลับ พูดกับฉินเทียนอย่างตื่นเต้นว่า: “ไอ้แซ่ฉิน แกทำลายการขอแต่งงานของฉัน!”
“แต่แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมแพ้แน่!”
“ครั้งนี้ขอแต่งงานล้มเหลว ครั้งหน้าฉันจะมาหาแก!”
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา สีหน้าแปลกประหลาดกันเป็นแถบ
จู่ๆ ซูซูก็ขำ “พรืด” ออกมา
ฉินเทียนอดถามไม่ได้ว่า: “ที่รัก คุณหัวเราะอะไร?”
ซูซูกลั้นขำไม่อยู่: “นายน้อยตระกูลจี้บอกว่า ครั้งนี้ขอแต่งงานล้มเหลว ครั้งหน้าจะมาหาคุณ…”
“ทำไมรู้สึกเหมือน เขาจะมาขอคุณแต่งงานยังไงก็ไม่รู้นะ?”
จ้าวเทียนจีหัวเราะลั่นเช่นกัน ก่อนพูดว่า: “นายน้อยตระกูลจี้นี่ ช่างเป็นหนุ่มนักรักจริงๆ”
“คุณฉิน ปัญหานี้ เกรงว่าคุณคงหนีไม่พ้นแล้วล่ะครับ”