Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1546 ซากปรักหักพัง

ตอนที่ 1546 ซากปรักหักพัง
เสียงร้องอนาถโหยหวนก้องสะท้อนกลางฟ้าดิน กลิ่นคาวเลือดแสบจมูกเจืออยู่ในสายลมอันหนาวเหน็บ ยังคงเข้มข้นไม่จางหาย
บนฟากฟ้า แสงเลือดแสบตาแถบหนึ่งคละคลุ้ง และมีเสียงครวญแห่งอริยะร่วงหล่นกำลังกึกก้อง
ยามการต่อสู้ปิดฉาก มีเพียงมกุฎอริยะสี่คนเผ่นหนีทัน เอาชีวิตรอดมาได้อย่างโชคช่วย แต่ก็ตกใจจนเสียขวัญ ตื่นกลัวเหมือนสุนัขไร้บ้าน
หาใช่หลินสวินไม่มีปัญญาไล่ล่าสังหาร แต่เพราะต้องเสียเวลาและแรงกำลัง
สำหรับเขาแล้ว ภารกิจเร่งด่วนคือความปลอดภัยของพวกเซ่าเฮ่า เจ้าคางคก อาหลู่ หาใช่ไล่ล่าสังหารศัตรูตลอดทาง
แม้จะเป็นเช่นนี้ ตอนที่มองเห็นเงาร่างของเขาวกกลับ ทุกคนรวมถึงรั่วอู่ล้วนเงยหน้าขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างทอดสายตามองไป
อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ผมดำพลิ้วไสว เงาร่างสูงโปร่งก้าวย่างกลางห้วงอากาศ ปราศจากมลทิน บุคลิกหลุดพ้นโลกีย์ดุจเทพเซียน
นี่ก็คือหลินสวิน!
เป็นเทพมารหลินที่พวกเขารู้จักดี
แต่ใครจะกล้าจินตนาการว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนนิ่งสงบดุจสายน้ำเช่นนี้ ยามเมื่อสำแดงฝีมือ กลับคมกริบสะท้านโลกประหนึ่งเทพมาร
เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ มีมกุฎอริยะสิบสี่คนถูกฆ่าต่อเนื่อง เหลือเพียงสี่คนที่โชคช่วยหนีไปได้!
โดยเฉพาะกระบี่เดียวที่สะท้านโลกสายนั้น ชั่วพริบตาก็บั่นศีรษะอริยะห้าคน ท่วงท่าสง่างามระดับนั้น ช่างเหมือนเซียนกระบี่มาเยือนโลกในตำนานชัดๆ
และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยบาดเจ็บ ตัวคนเดียวก็สยบเหล่าศัตรู ผงาดกร้าวไร้ทัดเทียม!
เวลานี้มองดูหลินสวินเดินมา ไม่ว่าจะเป็นรั่วอู่ เซ่าเฮ่า หรือเจ้าคางคก อาหลู่ หรือบุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณคนอื่นๆ ถึงกับมีความรู้สึกเหมือนเห็นเทพมาเยือนอย่างหนึ่ง
ครู่ใหญ่กว่าเซ่าเฮ่าจะได้สติขึ้นมา กล่าวทอดถอนใจ “ในระดับนี้ ข้าไม่มีความรู้สึกนึกเสียใจอะไรให้พูดถึงแล้ว”
รั่วอู่เข้าใจโดยปริยาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “การแข่งขันมหามรรคไม่ต้องรีบร้อน ขอเพียงมีชีวิตอยู่ วันหน้ายังมีโอกาสอีกถมเถ”
ก่อนหน้านี้เซ่าเฮ่าเคยพูดว่า ความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือไม่เคยวัดฝีมือกับหลินสวินสักครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาในตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดแล้ว
“พี่ใหญ่!”
“ข้ารู้อยู่แล้ว พี่ใหญ่ไม่มาก็แล้วไป เมื่อมาก็เพียงพอจะใช้พลังตัวคนเดียวสยบจักรวาล กำราบศัตรูทั้งปวง!”
อาหลู่และเจ้าคางคกตื่นเต้นจนถลาไปข้างหน้า ต้อนรับหลินสวิน
หลินสวินในเวลานี้ก็สงบใจลงได้อย่างสิ้นเชิง ยิ้มพลางต่อยหมัดใส่ทั้งคู่ กล่าวว่า “ไม่เป็นไรก็ดี ครั้งนี้พวกเจ้ารอดมาได้ ต้องขอบคุณพี่เซ่าเฮ่าที่ช่วยเหลืออย่างยิ่ง”
กล่าวพลางสองมือเขาประสานหมัด โค้งคารวะเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง “พี่เซ่าเฮ่า ครั้งนี้ขอบคุณยิ่งแล้ว!”
เซ่าเฮ่ายิ้มผ่าเผย กล่าวว่า “ขอบคุณอะไร อยากขอบคุณจริงๆ ก็ควรจะขอบคุณที่เจ้ามาทันเวลา ช่วยชีวิตทุกคนพ้นจากวิกฤต”
“ข้าล่ะ? ไม่มีใครอยากมาขอบคุณข้าบ้างหรือ เช่นนี้บั่นทอนความภาคภูมิใจกันเกินไปแล้ว”
เนตรดาราของรั่วอู่เบิกกว้าง กล่าวค่อนขอด
เซ่าเฮ่าและหลินสวินสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เห็นเช่นนี้รั่วอู่ก็หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่เช่นกัน เจือท่วงท่างามสง่าอย่างบอกไม่ถูก
คำบางคำไม่จำเป็นต้องพูดชัดเจนเกินไปสักนิด ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ รู้กันก็พอแล้ว
ห่างออกไปบุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่มเดินเข้ามา พากันกล่าวขอบคุณเซ่าเฮ่า หลินสวิน และรั่วอู่ทั้งสามคน
หลินสวินเองก็มองเห็นสหายที่คุ้นเคยอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิง เซียวชิงเหอแล้ว ในใจยิ่งรู้สึกโชคดีขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ถือว่ามาได้ทันเวลา
หาไม่ เขาล้วนไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาของการต่อสู้ครั้งนี้
สนทนากันคร่าวๆ หลินสวินและรั่วอู่ร่วมกันลงมือ เก็บกวาดสนามรบ รวบรวมศพ เลือดเนื้อ สมบัติเหล่านั้น คราวนี้จึงพาคนทั้งขบวนออกไปจากทะเลทรายเวิ้งว้างแถบนี้
นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีสำหรับการรำลึกอดีต
ระหว่างทางยามได้รู้จุดประสงค์ที่หลินสวินและรั่วอู่มุ่งหน้ามาโลกรกร้างโบราณ เซ่าเฮ่าอดปรบมือหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้พวกเจ้าก็ตั้งใจจะสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นใหม่ ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เรื่องนี้รวมข้าเข้าไปด้วยคน”
“พวกเราก็ร่วมด้วย”
บุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณคนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยปาก
คนมากพลังเยอะ หลินสวินย่อมเข้าใจหลักการข้อนี้ดี
ที่สำคัญที่สุดคือ สาเหตุที่เขาสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นใหม่ เดิมก็เพื่อทำให้เป็นสถานที่ที่สามารถต้านลมบังฝนให้แก่ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณอยู่แล้ว
มีพวกเซ่าเฮ่าเข้ามาร่วมด้วย ย่อมดีอย่างยิ่ง
จากนั้นหลินสวินเรียกยานขนส่งอวกาศ บรรทุกทุกคนเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ซากเมืองอารักษ์มรรคตั้งอยู่
โลกรกร้างโบราณมีอันตรายอยู่ทุกที่ และมีเงาร่างศัตรูจากแปดดินแดนให้เห็นทุกแห่งหน
แต่หลินสวินคร้านจะสนใจแล้ว ทุกเรื่องราวมีระดับความสำคัญ รอให้จัดแจงความปลอดภัยให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ภายหน้ายังมีโอกาสฆ่าศัตรูอีกถมเถ
เพียงแต่ที่น่าขันคือ ระหว่างทางยังบังเอิญพบกับควันหลงส่วนหนึ่ง ศัตรูจากแปดดินแดนบางส่วนไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ดี หมายจะลงมือกับยานขนส่งอวกาศ ไอสังหารเดือดพล่าน
ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือสักนิด รั่วอู่คนเดียวก็สลายเรื่องทั้งหมดได้สบาย
“จนกระทั่งตอนนี้พวกเจ้าไม่เคยติดต่อกับจิ่งเซวียนและเจ้านกดำได้เลยหรือ”
“ใช่แล้ว”
ในห้องโดยสาร เมื่อได้ยินคำตอบของเจ้าคางคกและอาหลู่ หลินสวินก็อดมุ่นคิ้วไม่ได้ ในใจค่อนข้างเป็นกังวล
อันตรายและความโหดร้ายของสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ ตอนนี้หลินสวินเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว นี่ทำให้เขาไม่อาจไม่เป็นกังวลความปลอดภัยของจ้าวจิ่งเซวียนได้
ส่วนนกทมิฬกลับไม่ได้ทำให้หลินสวินหวั่นใจขนาดนั้น เจ้านกหัวขโมยที่เจ้าเล่ห์ตัวนี้ บางทีพลังต่อสู้อาจไม่เด่นชัด แต่ถ้าพูดถึงความสามารถในการหนี ขนาดหลินสวินยังต้องชื่นชม
“แม่นางจ้าวเป็นคนดีสวรรค์คุ้มครอง ต้องไม่เกิดเรื่องแน่ พี่ใหญ่เจ้าก็วางใจเถอะ”
เจ้าคางคกกล่าวปลอบ
เขากับอาหลู่ต่างรู้ดียิ่งถึงความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวที่คลุมเครือระหว่างหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน ห่วงว่าเขาจะคิดไม่ตก อัดอั้นตันใจ
“ก็ได้แต่เป็นเช่นนี้แล้ว”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ สมรภูมิเก้าดินแดนใหญ่โตเกินไป แต่ละพื้นที่ล้วนเทียบได้กับโลกใบหนึ่ง อำนาจของศัตรูแปดดินแดนกระจายตัวอยู่ทั่ว ไปงมค้นหาแบบมั่วๆ จะกลายเป็นชักนำอันตรายมาสู่ตัว และที่สำคัญคือไม่ต่างอะไรจากงมเข็มในมหาสมุทร
หลินสวินเองก็ได้แต่หวังเอาไว้ ว่าหลังจากข่าวที่ตนปรากฏตัวในโลกรกร้างโบราณแพร่กระจายออกไป จะถูกจ้าวจิ่งเซวียนได้ยินแล้วมุ่งหน้ามารวมตัวกับตน
“พวกเจ้าล่ะ เหตุใดหลังจากเข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์กลับไม่สามารถบรรลุมกุฎอริยะได้”
หลินสวินเอ่ยปากถามง่ายๆ
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เจ้าคางคกและอาหลู่กก็พากันกัดฟันแน่น ออกอาการโกรธแค้นเหมือนอยากพุ่งเข้าไปฆ่าคน
จากนั้นหลินสวินจึงเข้าใจเรื่องราวส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในแดนลับนรกโลกันตร์
ช่วงเวลากก่อนหน้านี้แดนลับนรกโลกันตร์มาเยือน บุคคลแห่งยุคมากมายที่มาจากเก้าดินแดนต่างเลือกเข้าไปในนั้น ไขว่คว้าวาสนาที่จะบรรลุมกุฎอริยะ
แต่ด้วยพลังกฎระเบียบของแดนลับนรกโลกันตร์ มกุฎอริยะไม่สามารถเข้าใกล้แดนลับแห่งนี้ได้ ฉะนั้นบุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราทั้งกลุ่มจึงไม่ต้องประสบกับการขัดขวาง เข้าไปในนั้นได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกัน
เดิมทีนี่เป็นการแย่งชิงที่ค่อนข้างยุติธรรมอย่างหนึ่ง ต่างฝ่ายล้วนมีปราณระดับอมเคราะห์ด่านเก้า แต่สิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณคิดไม่ถึงสักนิดคือ
ทันทีที่เข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์ พวกเขาก็ถูกแปดดินแดนอื่นร่วมมือกันกีดกัน หมายจะรีบเร่งฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก!
เดิมจำนวนผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์ก็มีไม่มาก เมื่อถูกหมายหัวและข่มเหงเช่นนี้ จุดจบแค่คิดก็รู้
จากที่เจ้าคางคกและอาหลู่ว่ามา ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณอย่าว่าแต่แสวงหาวาสนาบรรลุมกุฎอริยะเลย แม้แต่รอดชีวิตต่อไปยังยาก!
จนกระทั่งตอนที่แดนลับนรกโลกันตร์ปิดฉาก ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่เข้าไปในนั้นเกินครึ่งล้วนตายอนาถอยู่ภายใน และมีเพียงพวกเขาไม่กี่ร้อยคนนี้ที่หนีรอดออกมาได้อย่างโชคช่วย
“บุคคลขอบเขตมกุฎในดินแดนรกร้างโบราณของเราเดิมก็มีไม่มาก และครั้งนี้แค่ในแดนลับนรกโลกันตร์ก็ตายอนาถไปหลายร้อยคน!”
พูดถึงตรงนี้อาหลู่ดวงตาแดงก่ำ แค้นจนหน้าผากเส้นเลือดปูดนูน
“พี่ใหญ่ โม่เทียนเหอจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา หวังเสวียนอวี๋จากสำนักเอกอุ…”
เจ้าคางคกไล่รายชื่อที่คนคุ้นเคยส่วนหนึ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งต่ำลึก “ล้วนประสบเคราะห์หมดแล้ว…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดทันควัน นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
ย้อนคิดถึงปีนั้นในแดนเก้าบนแห่งแดนมกุฎ พวกเขายังเคยร่วมสังสรรค์ร่ำสุรา ชุมนุมรื่นเริงด้วยกัน เป็นสุขสนุกสนานปานใด
แต่ใครเลยจะคาดคิด คนคุ้นเคยเหล่านี้ถึงกับประสบเคราะห์กันหมด ไม่มีทางปรากฏตัวบนโลกได้อีกแล้ว…
ชั่วขณะนั้นจิตใจของหลินสวินกระเพื่อมไหว ไม่อาจสงบนิ่ง
บางทีเขากับคนคุ้นเคยเหล่านี้อาจไม่ถึงขนาดมีไมตรีที่ร่วมเป็นตายกันจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็เคยคลุกคลีพูดคุยกัน
ตอนนี้ได้ยินข่าวการจากไปของพวกเขา หลินสวินมีหรือจะไม่เสียใจ
“พี่ใหญ่ มีแต่เข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดนนี่ ข้าถึงได้พบว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของพวกเราถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
อาหลู่สีหน้าเซื่องซึมลง “ศัตรูจากแปดดินแดนนั่นน่ารังเกียจเกินไปแล้ว มองพวกเราเป็นเศษหญ้า ฆ่าแกงหยามเกียรติกันอย่างอุกอาจ รสชาตินี้… แม่งอึดอัดจริงๆ”
เจ้าคางคกกัดฟันแน่น “ข้าเองก็ไม่เคยช้ำใจเช่นนี้มาก่อน รู้หรือไม่ ในแดนลับนรกโลกันตร์ข้าเห็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์โดดเด่นท่วงท่าดุจเซียนคนหนึ่ง หลังถูกเดรัจฉานพวกนั้นจับตัวไปก็กระทำย่ำยีทรมานเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่ว่านางจะร้องขอความตายอย่างไรก็ไม่ได้ผล!”
สองมือเขากำหมัดแน่น สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มกลั้นไอแค้นภายในใจ “ต่อมาข้าช่วยนางให้หลุดพ้นด้วยตัวเอง ข้าเป็นคนฆ่านางเอง แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยแววซาบซึ้งที่ออกมาจากใจจริง…”
หลินสวินล้วงน้ำเต้าสุราออกมายื่นให้เจ้าคางคก
เจ้าคางคกแหงนหน้ากระดก คราวนี้จึงถอนหายใจหนึกอึ้งออกมา กล่าวด้วยแววตาแน่วแน่ว่า “ตอนนั้นข้าก็สาบานแล้วว่า ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ภายหน้าจะต้องฆ่าเดรัจฉานพวกนั้นให้สิ้นซากแน่นอน!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”
อาหลู่พยักหน้าหงึกๆ
หลินสวินมองดูความเคียดแค้นที่ไม่ปิดบังสักนิดบนใบหน้าของทั้งคู่ ก็นึกถึงภาพอนาถที่ตนได้เห็นตลอดทางในโลกมารโลหิต เขาจึงยิ่งนิ่งเงียบมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในใจยิ่งหนักแน่นดุจเหล็ก!
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ยานขนส่งอวกาศหยุดลง คนทั้งขบวนโรยตัวสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ครรลองสายตาคือแผ่นดินกว้างที่ฝุ่นทรายคละคลุ้ง เวิ้งว้างเหี่ยวแห้ง เป็นหลุมเป็นบ่อ
สายลมดังหวีดหวิวพัดผ่าน ตลบม้วนฝุ่นทรายปลิวทั่วฟ้า ฝุ่นทรายเหล่านั้นไม่รู้ลอยล่องมากี่กาลเวลาแล้ว ยังคงหลงเหลือสีเลือดที่แห้งกรังอยู่
บนผืนแผ่นดินใหญ่ สามารถมองเห็นกระดูกแห้งเน่าเปื่อย เกราะแตกหักได้รำไร
“ที่นี่ก็คือซากเมืองอารักษ์มรรคในโลกรกร้างโบราณของพวกเรา ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่หนึ่งเคยมีเมืองมหึมาสูงตระหง่านที่ครอบคลุมพันลี้เมืองหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ ต้านลมบังฝน ต้านศัตรูภายนอกให้แก่ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของเรา”
เซ่าเฮ่าเอามือไพล่หลัง ส่งเสียงทอดถอนใจออกมา “เพียงแต่กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไป ทั้งหมดล้วนกลายเป็นควันเมฆในอดีตภายใต้ความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถตั้งนานแล้ว เหลือไว้เพียงเลือดและความแค้น ความอัปยศและการหยามเกียรติไม่รู้จบ!”
หลินสวินทอดสายตามองสี่ทิศ พินิจถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองไปผู้คนข้างกาย กล่าวขึ้นว่า “ในช่วงเวลาต่อจากนี้ ข้าจะอยู่ที่นี่ ใช้โครงกระดูกเลือดสดๆ ของศัตรูสร้างเมืองหนึ่งขึ้นมาใหม่ พิทักษ์พวกพ้องดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา ต้านศัตรูไว้ข้างนอก หวังว่าทุกท่านจะช่วยข้าสักแรง”
ทุกคนจิตใจสะท้านไหว ไม่มีใครไม่ตกลง
นับตั้งแต่วันนี้ พวกหลินสวินก็จะอยู่ที่นี่ วางแผนหารือเรื่องสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท