ฟ้าดินสั่นสะเทือน สรรพสิ่งไร้สี
ค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์โคจรเต็มกำลัง คลื่นผนึกที่ปล่อยออกมากวาดล้างฟ้าดินสามพันลี้
ฟุ่บ!
หลินสวินทะยานสู่ฟากฟ้า ทุกรายละเอียดของการโคจรค่ายกลใหญ่ปรากฏเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็นในใจ
ตอนนี้ศัตรูเข้าสู่กระบวนค่ายกลแล้ว เริ่มการสังหารได้!
ตูม!
ในกระบวนค่ายกลใหญ่ธารดาราป่วนคลั่ง อสนีบาตโหมทำลาย มหาสมุทรปราณกระบี่ม้วนกลืน หมอกควันขมุกขมัวแผ่อบอวล
ผู้ประสบหายนะก่อนก็คือทัพใหญ่เจ็ดดินแดน
ตูม! ครืน!
ดวงดาวม้วนแผ่คลุม แต่ละดวงเหมือนภูเขาเทพลูกหนึ่งกดอัดฟ้าดิน
เมื่อใดที่สัมผัสโดนศัตรู ก็ไม่มีใครไม่ร่างระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา เลือดสดพุ่งสาดกระจาย
และเมื่อธารดาราสายแล้วสายเล่าคลั่งระบำ ก็เหมือนแส้ทัณฑ์สวรรค์ที่โบกสะบัดอยู่ในหัตถ์สวรรค์ ทุกครั้งที่ฟาดจะนำชีวิตของคนนับร้อยไปด้วย!
“เข้าไปพร้อมกัน สกัดไว้!”
คุนป้าชิวและมกุฎอริยะทั้งหมดก็ติดอยู่ในโลกธารดาราที่ค่ายกลสังหารยอดนภาวิวัฒน์ขึ้น มองเห็นภาพนองเลือดต่างๆ เช่นนี้ แต่ละคนดวงตาแดงไปหมด โกรธจนจะระเบิด ลงมือเต็มกำลัง
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ประกายสายฟ้าที่เฉียบคมเจิดจ้าสลับกับอสนีบาตป่วนคลั่ง พลิกตลบคำรามก้องอยู่กลางฟ้าดินเหมือนพายุโหมกระหน่ำ
ทุกการสังหารราวอสนีเคราะห์ไร้เทียมทาน อย่างเบาคือผิวแตกเลือดอาบ อย่างหนักวิญญาณลอยล่อง เหลือไว้เพียงซากศพพลิ้วละล่อง
ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในระดับอริยะแท้ ภายใต้การสังหารของประกายสายฟ้าอสนีบาตที่ป่วนคลั่งโหมกระหน่ำนี้ ก็ยังถูกโจมตีอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเป็นไปดังคาด ไม่ช้าก็เร็วต้องตายแน่!
“เร็วเข้า! ต้านไว้!”
ในโลกอสนีบาตที่วิวัฒน์จากค่ายกลทลายเทพ มีมกุฎอริยะบุกโจมตีอย่างเดือดดาลเช่นกัน ไม่อาจทนเห็นการสังหารหมู่เช่นนี้เกิดขึ้นต่อหน้า
ชิ้งๆๆ!
ในมหาสมุทรปราณกระบี่ที่วิวัฒน์จากค่ายกลสังหารแดนพิฆาต ปราณกระบี่หนาแน่นนับไม่ถ้วนส่องประกายคมกริบไร้เทียมทาน แหวกคำรามก้อง
เพียงเสียงใสของกระบี่ก็พาให้ใจสั่น ทำให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ
ผู้แข็งแกร่งที่ถูกปราณกระบี่ฟาดฟัน แต่ละคนเหมือนถูกชำแหละร่าง แขนขาดขากระจาย เลือดแดงสดสาดพรมไม่หยุดหย่อนน่าพรั่นพรึง
มกุฎอริยะทั้งหมดแต่ละคนพลันหน้าเปลี่ยนสี โกรธจนผมตั้ง ลงมืออย่างเหี้ยมหาญ
เปรียบเทียบกันแล้วโลกหมอกควันที่วิวัฒน์จากค่ายกลสังหารดับวิญญาณ แปลกประหลาดและน่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในจุดที่หมอกควันขมุกขมัวพวกนั้นผ่านไป มีร่างไร้วิญญาณมากมายนอนอยู่ แต่ละศพล้วนสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย
แม้แต่สีหน้ายังปรากฏให้เห็นเพียงน้อยนิดว่าหวาดผวา ตื่นตะลึง หมดหนทาง สิ้นหวัง…
ต่อให้เป็นมกุฎอริยะพวกนั้นก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าไปพักหนึ่ง ค่ายกลสังหารเช่นนี้ส่งผลต่อจิตวิญญาณโดยตรง ทำให้ผู้คนไม่อาจปัดป้องได้อย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาใช้พลังเต็มกำลังถึงต้านไว้ได้ แต่หากจะปลีกตัวนั้นกลับไม่อาจทำได้ในช่วงสั้นๆ
“นี่เป็นค่ายกลอะไรกันแน่”
“ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้”
“ไม่…!”
“บรรพชนช่วยข้าด้วย บรรพชนช่วยข้าด้วย…”
ในสี่ยอดค่ายกลสังหาร เสียงร้องทุรนทุราย เสียงหวีดร้อง เสียงข่มขู่ เสียงคำรามดังระงมไม่ขาดหู สลับกับภาพนองเลือดไร้สิ้นสุด
ทัพใหญ่ที่มีกันราวสองแสนกว่าคน เกือบทั้งหมดเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ ทั้งมีบุคคลระดับอริยะแท้นับไม่ถ้วน แต่กลับเหมือนสัตว์ร้ายที่อยู่ในสภาพสิ้นหวัง
พวกเขาลุกลี้ลุกลน ตื่นตระหนกและหวาดกลัว แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี วุ่นวายกันไปหมด
หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น ในดวงตาดำเต็มไปด้วยความเฉยชา
ตอนนั้นที่โลกมารโลหิต เขาตัวคนเดียวยังต่อสู้ฟาดฟันกับการล้อมโจมตีของมกุฎอริยะสิบกว่าคนได้ แต่ตอนอยู่หน้าเมืองอารักษ์มรรคนั่นกลับเลือกที่จะหยุดเท้า
เพราะอะไร
สาเหตุอยู่ที่เมืองอารักษ์มรรคนั่นปกคลุมด้วยพลังผนึกที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างยิ่ง ต่อให้เขามั่นใจแค่ไหนก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในนั้น
และตอนนี้เขาได้ใช้เวลานานเกือบครึ่งปีในการวางกระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์ไว้ที่นี่ เทียบกับพลังกระบวนผนึกที่ปกคลุมอยู่บนเมืองอารักษ์มรรคของโลกมารโลหิตนั่นแล้ว แน่นอนว่ามีแต่จะเหนือกว่า
และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลินสวินกล้าพูดว่าตนจะต้านศัตรูทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวตอนเปิดศึก!
ในค่ายกลใหญ่แปดพิทักษ์ รั่วอู่ เซ่าเฮ่าและผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณหลายหมื่นได้เห็นภาพสังหารบ้าระห่ำเหล่านี้อยู่ในสายตา
ทุกคนต่างเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง หน้าตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ฝนโลหิตที่เทกระหน่ำ ร่างไร้วิญญาณที่ล้มกองเต็มพื้น เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเดือดดาลนั้น… กลายเป็นภาพการนองเลือดที่เหมือนนรกภูมิภาพแล้วภาพเล่า
อริยะแท้แล้วอย่างไร
ยามติดอยู่ในนั้นก็ได้แต่ถูกฆ่า เมื่อตายไปก็สภาพสุดจะทนเช่นกัน!
มกุฎอริยะแล้วอย่างไร
เมื่อติดอยู่ในนั้นก็ได้แต่ยืนหยัดอย่างยากลำบาก!
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์คนอื่นที่รวมตัวอยู่แน่นหนาพวกนั้นก็ยิ่งย่ำแย่กว่า ถูกคร่าชีวิตไปทีละคนเหมือนวัชพืช
เซ่าเฮ่าและรั่วอู่สบตากัน ต่างเห็นความตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่าย
นี่ก็คือค่ายกลที่หลินสวินวางไว้!
เป็นกระบวนค่ายกลที่เขาใช้เวลาเกือบครึ่งปี สร้างขึ้นจากแรงกายแรงใจ จนได้เผยอานุภาพสังหารเทียมฟ้าดิน กวาดล้างหมื่นกองทัพในวันนี้
ทว่าแม้แต่พวกเขาก็ยังคิดไม่ถึง ว่ากระบวนผนึกขนาดใหญ่นี้จะน่ากลัวได้เช่นนี้!
ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณคนอื่น เวลานี้ต่างตื่นเต้น ตกตะลึงเหม่อลอย แต่ละคนสีหน้าอึ้งงัน ทั้งตัวสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนเหยื่อ กล้ำกลืนความเจ็บช้ำอัดอั้นใจไปไม่รู้เท่าไร
พวกศัตรูแปดดินแดนเหล่านั้น ทำลายเหยียบย่ำและสังหารพวกเขาตามอำเภอใจ จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณเท่าไรต้องฝังร่างอยู่ในสมรภูมิ
ยิ่งไม่รู้ว่ามีผู้กล้าฝีมือล้ำเลิศเท่าไรต้องกล้ำกลืนความแค้น หญิงสาวเจิดจรัสไร้ใครเทียมไม่รู้เท่าไรตายไปด้วยถูกทรมานหยามเหยียด!
เลือดและน้ำตา ความแค้นและอาฆาต ร้อยถักอยู่ในใจทุกคน
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าหลินสวินต้องการสร้างเมืองอารักษ์มรรคอีกครั้ง พวกเขาจึงมาจากทั่วสารทิศโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
เพราะในใจของพวกเขาอัดอั้นมานานแล้ว!
เพียงแต่ความแข็งแกร่งของศัตรูจากแปดดินแดนยังอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ ประหม่า ว้าวุ่นใจ ถึงขั้นสิ้นหวัง
แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว!
หลินสวินคนเดียวโคจรกระบวนค่ายกลใหญ่ ใช้มือข้างเดียวบดบังนภา กอบกู้สถานการณ์อันตราย!
“การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน เมืองอารักษ์มรรคของดินแดนรกร้างโบราณเราถูกเหยียบย่ำ ผู้แกล้วกล้าไม่รู้เท่าไรถูกสังหารหมู่ กล้ำกลืนความแค้นอยู่ที่นี่ ครั้งนี้จะลบล้างความอัปยศได้ไหม”
มีคนกำหมัดแน่นกล่าวพึมพำ
“ได้! ได้แน่นอน!”
มีคนจ้องมองเงาร่างสูงตระหง่านนั้นของหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปกลางอากาศ สีหน้าฮึกเหิมและเด็ดเดี่ยว กล่าวอย่างไม่ยอมให้กังขา
เงาร่างนั้นแม้จะสันโดษโดดเดี่ยว ใบหน้าแม้จะยังหนุ่ม แต่กลับมีท่วงท่าแห่งการไร้คู่ต่อกร เจิดจรัสดั่งดวงตะวันกลางนภา!
มีเขาอยู่ก็มีโอกาสที่จะลบล้างความอัปยศ!
“นี่เป็นแค่ศัตรูภายนอกส่วนหนึ่ง กำลังหลักที่แท้จริงของแปดดินแดนยังอยู่ การต่อสู้ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ ภายหน้าได้ถูกลิขิตให้ดำเนินต่อไป”
มีคนกล่าวเสียงต่ำ “แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้พวกเราก็มีหวังแล้ว!”
“ใช่แล้ว ความหวัง…”
แม้แต่พวกเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยังเผยความคาดหวังให้เห็น
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้แต่คิดว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปอย่างไร ไม่กล้ามีความคิดล้างแค้นอะไรเลย
แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว
พวกเขามองเห็นความหวังได้อย่างชัดเจนแล้วจริงๆ!
…
‘ก็ยังไม่พอ…’
บนอากาศ หลินสวินไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย ติดตามการเคลื่อนไหวทุกอย่างในสี่ยอดค่ายกลสังหารอยู่ตลอด
เพราะถูกจำกัดด้วยข้อผูกมัดของพลังกฎระเบียบในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ จึงทำให้อานุภาพของสี่ยอดค่ายกลสังหารถูกข่มไประดับหนึ่ง
มิฉะนั้นด้วยการคาดเดาของหลินสวิน อย่าว่าแต่ฆ่ามกุฎอริยะคนหนึ่ง ต่อให้ฆ่ามกุฎอริยะกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกันเคลื่อนพลก็น่าจะสบายมาก!
ก็เหมือนตอนนี้ มกุฎอริยะพวกนั้นที่ติดอยู่ในกระบวนค่ายกลใหญ่ ดูเหมือนน่าอนาถยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกล้ามเนื้อทลายกระดูกเคลื่อนอย่างแท้จริง
หากใช้พลังต่อไปเช่นนี้ ยิ่งปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน ยามพลังชีพจรปราณวิญญาณที่อยู่ด้านล่างค่ายกลใหญ่ถูกผลาญไปหมด ผลที่ตามมาก็เห็นจะท่าไม่ดีแล้ว
“หืม?”
หลินสวินสังเกตเห็นได้อย่างฉับไวว่าในค่ายกลสังหารยอดนภา คุนป้าชิวและมกุฎอริยะทั้งหมดได้ก้าวออกจากการเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้ว พวกเขาเริ่มเป็นฝ่ายโจมตี ใช้พลังทำลายค่ายกล!
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในหมู่มกุฎอริยะเจ็ดสิบคน แค่พวกที่อยู่ข้างกายคุนป้าชิวก็มีรวมกันสามสิบสามคนแล้ว!
อีกสามสิบเจ็ดคน ก็ติดอยู่ในค่ายกลสังหารสามแห่งต่างกันไป
มกุฎอริยะสามสิบกว่าคนลงมือเต็มกำลังพร้อมกัน อานุภาพนั้นย่อมต่างออกไปเป็นธรรมดา ถึงขั้นมีท่าทีว่าจะสั่นคลอนค่ายกลสังหารยอดนภาได้รางๆ
ทั้งทัพใหญ่เจ็ดดินแดนที่กระจายอยู่ในค่ายกลสังหารยอดนภายังถูกพวกคุนป้าชิวเก็บเข้าไปในสมบัติ เพื่อเลี่ยงจุดจบที่จะถูกฆ่าตายหมด
‘หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องทำลายค่ายกลได้แน่’
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็นเผยไอสังหาร ถึงเวลาที่เขาต้องออกโจมตีแล้ว!
ฟุ่บ!
จากนั้นจู่ๆ เงาร่างเขาก็หายไป
“เร็วเข้า ลงมือเต็มกำลัง ทำลายค่ายกลนี่ซะ!”
คุนป้าชิวตะโกนลั่น สีหน้าอำมหิต
ความน่ากลัวของค่ายกลใหญ่ที่หลินสวินวางไว้ทำเอาพวกเขารับมือไม่ทันจริงๆ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็บาดเจ็บล้มตายกันมากมาย
แต่คนที่ตายล้วนเป็นพวกที่ยังไม่บรรลุอริยะ มกุฎอริยะต่างไม่ประสบเคราะห์ นี่ทำให้คุนป้าชิวยังไม่ถึงขั้นฟุ้งซ่านด้วยเหตุนี้
เพียงแต่ส่วนลึกของจิตใจเขากลับมีไอสังหารพลุ่งพล่าน เดือดดาลหาใดเปรียบ
ครั้งนี้ทั้งเจ็ดดินแดนร่วมมือกันออกเคลื่อนพลทัพใหญ่เกรียงไกร ทั้งมีมกุฎอริยะเจ็บสิบคนบัญชาการ แต่กลับเสียหายใหญ่โตเช่นนี้ต่อหน้าคนของดินแดนรกร้างโบราณที่อ่อนแอกระจ้อยร่อยหาใดเปรียบ ช่างน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่งจริงๆ!
ต่อให้สุดท้ายชนะศึกนี้ได้ ยามกลับไปยังแต่ละค่ายทัพก็ต้องขายหน้าแน่ ถูกคนอื่นเยาะหยันน่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง
“ฆ่า!”
“ทำลายค่ายกลนี่ ฆ่าแพะสองขาพวกนั้นซะ!”
“ครั้งนี้ข้าจะทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่าน ทำให้พวกเขาทุกคนจิตล่องวิญญาณลอย!”
มกุฎอริยะคนอื่นก็หน้าเขียว เดือดดาลถึงขีดสุด แต่ละคนเค้นวิชาลับออกมาเต็มที่ ร่วมกันประจันหน้ากับพลังของค่ายกลใหญ่อย่างบ้าคลั่งเหมือนนายเหนือหัวกันทุกคน
ทั้งยังเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้วด้วย!
แต่เวลานี้จู่ๆ เงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏ ก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงหน้ามกุฎอริยะคนหนึ่ง เขากำหมัดซัดออกไปเต็มแรง
ตูม!
หมัดที่รวมพลังมรรคาทั้งสามอย่างหลอมปราณ หลอมกายและหลอมจิตของหลินสวินไว้ด้วยกัน พุ่งออกไปด้วยอานุภาพที่ไม่อาจต้าน รวดเร็วถึงขีดสุดและเผด็จการเป็นอย่างยิ่ง
กำปั้นเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ลูกหนึ่งสังหารลงมา เจตจำนงแห่งหมัดเชื่อมจิต
ปึง!
ไม่ผิดจากที่คาด มกุฎอริยะคนนั้นเพิ่งมีปฏิกิริยาก็ถูกหมัดหนึ่งซัดจนพลังป้องกันทั่วร่างกระจาย แม้แต่เกราะชั้นหนึ่งที่ปกคลุมหน้าอกยังถูกซัดกระจุย ทั้งตัวระเบิดออกกลางอากาศ
พลังจิตของเขายังไม่ทันหนีออกจากร่าง ก็ถูกพลังหมัดดุจเขาถล่มสมุทรคำรามนั่นระเบิดกลายเป็นจุณอย่างแข็งกร้าว!
มกุฎอริยะคนหนึ่งถูกหมัดเดียวสังหารกระจุย!
นี่ก็คือมกุฎอริยะคนแรกที่ถูกสังหารตั้งแต่เปิดศึกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงทันที
……….