เมื่อสักครู่ทุกคนเห็นความแข็งแกร่งของลุงสุ่ยได้อย่างชัดเจน สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเขาแล้ว มันเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่ธรรมดา แต่เฉินโม่นั้นแข็งแกร่งกว่าเขา หมายความว่าถ้าเฉินโม่อยู่ท่ามกลางยอดฝีมือพวกนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งของเฉินโม่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า!
ซึ่งอานเข่อเยว่รู้อย่างชัดเจน แต่เธอบังคับไม่ให้ตนเองเชื่อ เธอไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเฉินโม่ได้ จู่ ๆ จากนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่งสู่คนไม่ธรรมดา ที่สามารถเทียบกับยอดฝีมือระดับโลกได้
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! แค่บังเอิญเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จู่ ๆ เขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้”
ตอนนี้สีหน้าของสองพี่น้องตระกูลหยู่เหวินเต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นความสามารถของเฉินโม่แล้ว แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่าเฉินโม่จะแข็งแกร่งขนาดนี้
“บัดซบ เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? ผมแค่หวังว่าเขาจะตายอยู่ในมือของเหรินเทียนหยู่เท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อเขามาแก้แค้นตระกูลหยู่เหวิน พวกเราจะไม่สามารถต้านได้เลย!”
มู่หรงเค่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงลืมตาขึ้น แล้วเห็นภาพที่น่าตกใจอยู่ตรงหน้า
“เป็นไปได้อย่างไร! เขาชนะจริง ๆ!”
ลุงสุ่ยยิ้มด้วยความพึงพอใจ มองมู่หรงเค่อและกล่าวว่า “นายท่าน บางทีคราวนี้พวกเราอาจจะมีทางรอดแล้ว!”
มู่หรงเค่อมองเฉินโม่ด้วยสายตาซับซ้อน และความรู้สึกผสมปนเป ไม่สามารถพูดได้เป็นเวลานาน
สีหน้าของเหรินเทียนหยู่เคร่งขรึม มองเฉินโม่และกล่าวเยาะเย้ยว่า “เจ้าหนู ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าแกก็เป็นนักบู๊!”
เฉินโม่หยิบขนมอีกชิ้นใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างช้า ๆ จากนั้นเหลือบมองเหรินเทียนหยู่ด้วยสายตาเหยียดหยาม และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าแกแค่มาแก้แค้น ฉันก็ไม่อยากจะเข้ามาแทรกแซง แต่แกนั้นใจกล้ามากที่คิดร้ายกับยานเอ๋อร์ แกมันสมควรตาย!”
เหรินเทียนหยู่เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าหนู แกคิดว่าการที่สามารถเอาชนะคนรับใช้ของฉันได้ ก็สามารถดูถูกเหยียดหยามฉันได้หรือ? แกมันไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
“หลังจากถูกอาจารย์พาตัวไป ฉันก็คิดแต่เรื่องแก้แค้น ฉันฝึกหนักเป็นเวลาสิบกว่าปี ไม่เคยได้นอนอย่างสบายแม้แต่วันเดียว หลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ฉันไปไกลถึงเอเชียกลาง แอฟริกาและที่อื่น ๆ เพื่อเป็นทหารรับจ้างของที่นั่น ฝึกฝนตนเองอยู่บนเส้นทางแห่งความตาย และฆ่าคนตายมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่ยอดฝีมือของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปก็ตายด้วยน้ำมือของฉันไปไม่น้อย แกเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังกล้ามาพูดเพ้อเจ้อว่าจะฆ่าฉันอีก ช่างน่าขำสิ้นดี!”
เฉินโม่รู้สึกรำคาญและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แกพูดไร้สาระมากเกินไปแล้ว เห็นแก่ที่แกฝึกพลังบำเพ็ญด้วยความยากลำบาก ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ขอเพียงแค่แกสามารถบีบบังคับให้ฉันลุกจากที่นั่งได้ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างแกกับตระกูลมู่หรงอีกต่อไป”
ทุกคนต่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นี่มันจองหองมากเกินไปแล้วมั้ง!
เหรินเทียนหยู่รู้สึกว่าตนเองได้รับความอัปยศ ทำให้เขาโมโหทันที “เจ้าหนู แกมันรนหาความตาย!”
แสงสีแดงประกายออกมาจากร่างกายของเหรินเทียนหยู่ เขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แล้วปล่อยพลังหมัดไปที่เฉินโม่
มีแสงสีแดงแปลก ๆ อยู่บนหมัดนั้น ดูแล้วน่าหวาดกลัว!
เฉินโม่ไม่รีบร้อนและรอจนกว่าหมัดของเหรินเทียนหยู่จะมาถึงร่างกายของตนเอง เขาถึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเล็งไปข้างหน้า
ไม่ว่าหมัดของเหรินเทียนหยู่จะหนักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศ มองแล้วแปลกเล็กน้อย
ปัง!
ทั้งสองชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นเกิดเสียงดังสนั่น ร่างของเหรินเทียนหยู่กระเด็นออกไปอย่างแรง แล้วเท้าของเขาก็เหยียบบนพื้นด้วยความเก้อเขิน ถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวถึงจะสามารถยืนมั่นคงได้
ฝูงชนต่างเงียบอีกครั้ง ทุกคนอ้าปากกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
สีหน้าของเหรินเทียนหยู่เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน มองเฉินโม่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าหนู ฉันประเมินแกต่ำไปแล้ว แกคู่ควรที่ฉันจะต่อสู้อย่างจริงจัง!”
ทุกคนต่างตกใจอีกครั้ง หรือว่าเหรินเทียนหยู่ยังไม่ได้ปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่?
เหรินเทียนหยู่มองเฉินโม่ รัศมีที่ทรงพลังปะทุออกมาจากร่างกายของเขา แสงสีแดงที่อยู่รอบตัวเขาหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แล้วร่างกายของเขาก็ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ
ใบหน้าของลุงสุ่ยเปลี่ยนไปมาก เต็มไปด้วยความหวาดผวา “ปล่อยพลังใน คือปรมาจารย์แดนแปรภาพ!”