Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1586 หลอมวิชาตน

ตอนที่ 1586 หลอมวิชาตน
ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรก ผู้ที่ได้ตำแหน่ง ‘อันดับหนึ่ง’ ในสมรภูมิเซียนเหินคือชายหนุ่มจากดินแดนโบราณต้าหลัวคนหนึ่งนามว่า ‘ชิงอวี่’ ตอนนี้เขาได้รับการยกย่องเป็น ‘จักรพรรดิกระบี่ชิงอวี่’ มานานแล้ว
‘กระบี่จักรพรรดิอักษรบัญชา’ ที่ถูกหลินสวินชิงมาจากเจี้ยนชิงเฉิน ก็คือกระบี่คู่กายที่คนผู้นี้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ กระบี่ไม้ธรรมดานัก ทว่าเพราะเจ้าของของมันจึงแตกต่าง
ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สอง อันดับหนึ่งในสมรภูมิเซียนเหินคือชายหนุ่มจากดินแดนโบราณขุมอุดรคนหนึ่งนามว่า ‘คุนหลิง’
คนผู้นี้หลังบรรลุจักรพรรดิ ก็ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิคุน’ เหมือนชิงอวี่!
มีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่หาใดเทียบประหนึ่งยักษ์ใหญ่ในตำนานทั้งสองนี้ ต่อให้เป็นหลินสวินยังไม่อาจไม่สนใจการประชันในสมรภูมิเซียนเหิน
ตอนเผชิญหน้ากับเจี้ยนชิงเฉิน สาเหตุสำคัญข้อหนึ่งที่ฝ่ายหลังไม่อยากลงมือก็เพราะยังพะวงกับสมรภูมิเซียนเหินอยู่ ตอนนั้นจึงไม่ต้องการสู้กับหลินสวินให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
“ยามข้าไปสมรภูมิเซียนเหิน แปดดินแดนจะต้องส่งกองทัพมารุกรานแน่ จึงทำได้เพียงรบกวนทุกท่าน ถึงตอนนั้นอยู่เฝ้าระวังที่นี่ ร่วมกันป้องกันศัตรูภายนอก”
ก่อนปิดด่าน หลินสวินเรียกรวมตัวเหล่ามกุฎอริยะเพื่อประชุมกัน
“พี่หลิน เช่นนี้เสี่ยงเกินไป!”
ทันใดนั้นทุกคนพากันเอ่ยปราม
ตลกน่า ให้หลินสวินไปสู้เอาเป็นเอาตายคนเดียว พวกเขาจะทนได้อย่างไร
“ทุกท่าน ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนคราวนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเราค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็คือล้างความอัปยศอดสูแต่กาลก่อน แก้แค้นแทนเมธีผู้เคยสละเลือดเนื้อที่นี่เหล่านั้น”
หลินสวินเอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ส่วนศึกสมรภูมิเซียนเหินกลับเป็นเรื่องรอง ขอเพียงมีพวกเจ้าอยู่ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็จะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นล่มสลายโดยสิ้นเชิง”
ทุกคนต่างเงียบงัน สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
ความจริงแล้วพวกเขาก็รู้ดีว่าสมรภูมิเซียนเหินนั้นไม่ได้เข้าไปได้ง่ายดายปานนั้น แต่ละดินแดนอย่างมากที่สุดก็มีเพียงเก้าคนที่เข้าไปในนั้นได้
ต่อให้พวกเขาทุกคนต้องการสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลินสวินก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทว่าพวกเขายังไม่วางใจอยู่ดี ผู้ที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินของอีกแปดดินแดนล้วนเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งนั้น ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน หลินสวินคนเดียวจะต้านไหวหรือ
“ทุกท่าน ข้าไม่ได้ไปคนเดียว คราวนี้มีเสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนไปกับข้าด้วย”
หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
เสี่ยวอิ๋นเป็นลูกหลานหนอนกินเทพ และยังเป็นหนอนกินเทพที่บรรลุระดับมกุฎอริยะ! ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ ทุกคนก็ได้เห็นด้วยกันตั้งแต่ในแดนลับสนามแม่เหล็กแล้ว
และเสี่ยวเทียนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นลูกหลานเผ่าผีเสื้อมารแยกฟ้า ครอบครองอภินิหารอันน่ากลัวประหนึ่งการฉีกแยกท้องนภา ตอนนี้มันก็บรรลุมกุฎอริยะเช่นกัน
มีทั้งสองอยู่ ย่อมเป็นกำลังเสริมอันใหญ่ยิ่งแก่หลินสวินได้จริงๆ
“พี่ใหญ่ ข้ากับอาหลู่ล่ะ”
เจ้าคางคกเอ่ยอย่างอดไม่ได้
เขาไม่พอใจนัก คิดว่าหลินสวินลำเอียง พาไปแค่เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียน แต่กลับทิ้งเขากับอาหลู่ไว้ ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
หลินสวินยิ้มขึ้นพลางพูดว่า “พวกเจ้าอยู่ต้านศัตรูภายนอกจากแปดดินแดน หากเมืองแตก ข้าจะไม่เอาพวกเจ้าไว้”
เจ้าคางคกกับอาหลู่ต่างทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง
ทุกคนเห็นดังนี้ก็รู้ว่าหลินสวินตั้งใจแน่วแน่ไปแล้ว ไม่เกลี้ยกล่อมอีก
แล้วหลินสวินก็เอ่ยปากพูดว่า “ทุกคนที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหิน จะเอามาให้ข้าก็ได้ ข้าจะช่วยทุกคนเก็บรวบรวมชะตามรรคผลงานรบอย่างสุดความสามารถ”
เซ่าเฮ่า รั่วอู่ เย่หมัวเฮอ จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจิน และลั่วเจียล้วนมีป้ายคำสั่งเซียนเหินอยู่คนละชิ้น แต่พวกเขาต่างปฏิเสธความปรารถนาดีของหลินสวินโดยมิได้นัดหมาย พูดว่าต้องการสังหารศัตรูเอง เก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบด้วยการกระทำเช่นนี้
ความจริงแล้วในใจพวกเขาล้วนไม่ต้องการให้หลินสวินสู้เอาเป็นเอาตายกับศัตรูพวกนั้น เพื่อช่วยพวกเขาเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบ
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ไม่คะยั้นคะยอ เพียงเอ่ยถามว่า “ในมือข้ามีป้ายคำสั่งเซียนเหินสามชิ้น สองชิ้นในนี้เป็นของดินแดนรกร้างโบราณ รวมกับที่อยู่ในมือของทุกคนยังมีเพียงแปดชิ้น ป้ายคำสั่งเซียนเหินอีกชิ้นหนึ่งอยู่ในมือใคร”
ทุกคนต่างส่ายหน้า
ของอย่างป้ายคำสั่งเซียนเหินไม่ใช่สิ่งที่ใครก็มีได้ อีกทั้งคุณค่าสูงสุดของมันก็ใช้ได้แต่ในสมรภูมิเก้าดินแดน หาไม่ก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์อย่างหนึ่ง
หลังทุกคนจากไป ในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนสองคน เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน เจ้าคางคกและอาหลู่ออกไปชั่วคราวอย่างรู้งาน
สุราแรงขวดหนึ่ง ชาแก่กาหนึ่ง สำรับผลไม้โอชะสองสามอย่าง
“รู้ว่ากล่อมเจ้าไม่ได้ คืนนี้ข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเป็นอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ได้สิ”
หลินสวินยิ้มขึ้นมา
ทั้งสองแนบอิงกัน ร่ำสุราลิ้มรสชา ดื่มดำกับความอบอุ่นและเงียบสงบที่เป็นของพวกเขาทั้งสองเท่านั้นจนกระทั่งฟ้าสว่าง
วันรุ่งขึ้นหลินสวินก็เริ่มปิดด่าน
ยังเหลือเวลาอีกห้าเดือนก่อนสมรภูมิเซียนเหินมาเยือน
หลินสวินคิดจะถือโอกาสนี้ทุ่มเททั้งกายใจหยั่งรู้นัยเร้นลับ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’ รังสรรค์วิชาของตนเอง!
หนึ่งเดือนผ่านไป
วิ้ง!
เสียงครวญใสน่ายำเกรงดังขึ้นในคฤหาสน์อันมืดมิดวังเวง จากนั้นดาบหักที่ขาวแวววาวโปร่งแสงก็เคลื่อนออกมาช้าๆ ลากเส้นเฉียบคมตรงแน่วเส้นหนึ่งกลางห้วงอากาศ
ราวกับแสงแรกที่ทำลายราตรีนิรันดร์
เพียงแต่แสงเส้นนี้เชื่องช้าถึงที่สุด พอสัมผัสดูโดยละเอียดก็จะพบว่ายามแสงเส้นนี้โฉบออกมา มีมหาดาราดวงแล้วดวงเล่าร่วงหล่น ที่ตามมาติดๆ คือจันทร์เต็มดวงดวงหนึ่งลอยสูงขึ้นเหนือทะเลสีมรกต…
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งระเบิดออกสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า กลิ่นอายเงียบสงัดไร้สิ่งใดแผ่ขยายออกมาตามไปด้วย…
แสงนั้นเริ่มไหววูบติดๆ ดับๆ ท่ามกลางความสงัดวิเวก แสงกะพริบแต่ละครั้งก็เหมือนฉากกั้นที่กรีดผ่านอากาศ ตอกตรึงกาลเวลา
เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ แสงไหวเคลื่อนไม่แน่นอน ไร้รูปแบบตายตัว ดุจดั่งโชคชะตา คณากฎกรรม ไม่อาจล่วงรู้ ไม่อาจคาดเดา…
จนท้ายที่สุดพอแสงคลอนหนึ่งไหววูบ ในคฤหาสน์ก็ตกอยู่ในความมืดมิดวังเวงอีกครั้ง
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นลืมตาขึ้น
ผ่านการหยั่งรู้และอนุมาน ในวันนี้เขาหลอมนัยเร้นลับของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าไว้ในเตาหลอมเดียวได้ในที่สุด!
การโจมตีเมื่อกี้ก็หลอมรวมนัยเร้นลับแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าอันได้แก่คว้าดารา สอยจันทรา เผาตะวัน นภาสงัด เกิดดับ และไม่เที่ยงแท้ หลอมหลวมอยู่ภายในกระบวนท่าเดียว
สิ่งนี้ก็คือ ‘หนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า!’
มรดกนี้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ ปัจจุบันถูกหลินสวินควบคุม เปลี่ยนยากเป็นง่ายได้โดยสมบูรณ์แล้ว เหมือนหมื่นกระแสคืนแหล่งกำเนิด กลับสู่หนึ่งเดียว
‘ถ้าใช้ดาบหักด้วยมรดก ‘ปฐม’ ‘ยอด’ ‘สังหาร’ บวกกับพลังปราณระดับอริยะแท้ขั้นกลางสำแดงหนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้านี้… อานุภาพจะแข็งแกร่งปานไหนกัน’
หลินสวินครุ่นคิด
เพียงแต่ไม่นานเขาก็หลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ฝึกฝนต่อ
หนทางสู่ไตรมรรครวมเป็นหนึ่งชำนาญดีแล้ว แต่รังสรรค์วิชาของตนยังเพิ่งเริ่มเท่านั้น…
เดือนที่สอง
หลินสวินพลันลุกขึ้นยืน รีบร้อนเดินออกไปจากคฤหาสน์
เคลื่อนย้ายครั้งเดียวเงาร่างของเขาก็ปรากฏตัวนอกเมืองอย่างเงียบเชียบ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ดึงดูความสนใจจากใคร
กลางฟ้าดินเขาเดินเชื่องช้า สีหน้าเหม่อลอย เดี๋ยวแหงนมองฟ้า เดี๋ยวก้มมองดิน ในจิตใจการหยั่งรู้ทั้งปวงรวมตัวกัน ประหนึ่งภูเขาไปกำลังจะปะทุ รู้สึกอึดอัดต้องปลดปล่อย
ก็คือที่นี่ล่ะ!
ทันใดนั้นหลินสวินหยุดก้าวเดิน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ จักรวาลไพศาล ทิวเขารอบทิศซ้อนทับกันยืดยาวเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เหนือผืนดิน ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มแผ่ขยายไร้ที่สิ้นสุด
ครู่ใหญ่หลินสวินเหยียบย่างขึ้นไปในห้วงอากาศ
“เอ๊ะ!”
ที่ไกลลิบมีเสียงฉงนใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
หมีเหิงเจินที่กำลังนำผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณกลุ่มหนึ่งลาดตระเวนอยู่ ทันใดนั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทอดสายตามองออกไปไกลๆ
ฉับพลันในจิตรับรู้ก็เห็นเงาร่างสูงผ่าเผยปรากฏขึ้นใต้เวิ้งฟ้านั้น เท้าเหยียบยอดเมฆ ร่างกายประหนึ่งหล่อขึ้นจากทองเซียนหยกเทพ กลิ่นอายน่ากลัวแข็งกร้าวถั่งโถมออกมา
เงาร่างนั้นสาดพรมประกายแสง ส่องสว่างภูผาธารา ดุจดั่งทวยเทพในตำนาน โอหังเหนือโลก
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงต่างตกตะลึง แต่ละคนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน เผยสีหน้าประหลาดใจ
ทันใดนั้น เงาร่างนั้นก็เคลื่อนไหว นิ้วมือกำเป็นหมัด ทะยานตัวขึ้น หนึ่งหมัดหมายกระแทกเวิ้งฟ้า!
เปรี๊ยะ!
หมัดเดียวม่านฟ้าแตกสลายทันทีราวกับกระจกแผ่นหนึ่ง แยกออกเป็นรอยแยกน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกไปสิบทิศราวกับใยแมงมุม
ห้วงอาหาศเหมือนกำลังยุบตัว ใกล้จะตกลงมา
ตูม!
เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังไปทั้งสิบทิศ เพียงแค่คลื่นเสียงก็ทำลายหมู่ภูเขาให้เป็นจุณ ฟ้าดินแตกออก สรรพสัตว์สรรพสิ่งต่างคล้ายรับไม่ไหวกำลังทรุดทลาย!
ภาพนั้นเหมือนฟ้าดินเป็นดั่งผ้าใบวาดเขียนผืนหนึ่ง ถูกหมัดนี้ฉีกทึ้งบดขยี้อย่างจัง!
น่ากลัว!
น่าสยดสยองจนไม่อาจจินตนาการได้ คาดคิดได้ยากว่ามีพลังน่าครั่นคร้ามถึงขั้นไหน ถึงสามารถสะเทือนจักรวาล ทำให้สรรพสัตว์ดับสิ้นได้ในหมัดเดียว!
หมีเหิงเจินเพียงรู้สึกว่าในสมองมีเสียงดังวิ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด ภาพที่เห็นตรงหน้ามีแต่ไอขุ่นมัวกว้างใหญ่ทั้งแถบ
นี่ทำให้เขาสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้ พลังหมัดน่าหวาดหวั่นนัก แม้อยู่ห่างไปไกลลิบ กลับเหมือนโจมตีที่สภาวะจิตของเขา ทำให้เขายังรู้สึกหายใจไม่ออกเสียวสันหลังวาบ
ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่น แต่ละคนต่างตัวสั่นเทิ้ม ขาสั่นระริก ทั้งกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ จิตใจเสียการควบคุม
“เร็วเข้า นั่งสมาธิฝึกฝนเดี๋ยวนี้! ได้เห็นหมัดชั้นนี้ หากสัมผัสแก่นอัศจรรย์จากในนั้นได้แม้สักนิด ก็เพียงพอให้พวกเจ้าเรียนรู้อานุภาพแห่งอริยมรรคได้อย่างลึกซึ้งแล้ว สิ่งนี้มีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการเสาะแสวงสู่ระดับอริยะของพวกเจ้า”
หมีเหิงเจินตะคอกลั่น
ทุกคนต่างรีบร้อนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
จากนั้นหมีเหิงเจินก็ทอดสายตามองไปไกลๆ ในใจปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เจ้าหลินสวินนี่… บนหนทางเสาะแสวงอริยะมรรคไปถึงขั้นไหนกันแน่นะ
ในขณะเดียวกันหลินสวินรู้สึกสาแก่ใจนัก มีความรู้สึกเต็มอิ่ม พลานุภาพทั้งร่างแกร่งกล้าโชติช่วง มีแต่กลิ่นอายเชื่อมั่นไร้ศัตรู
ตอนนี้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์หลอมเข้าไปในเตาเดียวแล้ว!
มรดกนี้แบ่งออกเป็นทลายภูผา ทลายสมุทร ทลายอากาศ ทลายวิญญาณ ทลายมังกร ทลายปักษาเพลิง ทลายอเวจี ทลายสวรรค์ ทลายจักรวาล
รวมทั้งสิ้นเก้ากระบวนท่า แต่ละท่าต่างมีพลังทำลายล้างเต็มขั้น สามารถเบิกภูผาแหวกสมุทร สามารถกำราบอเวจีกลืนกินเวิ้งฟ้า นัยเร้นลับไร้สิ้นสุด พลานุภาพยิ่งใหญ่
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อควบคุมเก้ากระบวนท่าทั้งหมดนี้ได้ถึงขั้นสมบูรณ์ ก็เหมือนควบคุมนัยเร้นลับมหามรรค สามารถสำแดงทบทวีได้อย่างสมบูรณ์
และตอนนี้ หลินสวินอนุมานนัยเร้นลับของมันทั้งหมดถึงที่สุดแล้ว กระบวนท่าหมัดทั้งเก้าทบทวีกันโดยสมบูรณ์ หลอมเข้าไปในอานุภาพของหนึ่งหมัด
พอโจมตีหมัดนี้ออกไป จะสามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน อริยเทพสั่นสะท้าน เหล่าศัตรูล้วนเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยไร้ทางสู้ ไม่อาจต้านทานได้!
หมัดนี้ เรียกได้ว่าหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์!
เดือนที่สาม
หลินสวินอนุมานมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลอมนัยเร้นลับทั้งหมดเข้าไปในอักษร ‘เคราะห์’ รูปมังกรตัวหนึ่ง เมื่อใจไหวเคลื่อน ประหนึ่งเจินหลงออกจากหุบเหว วางเคราะห์สังหารบนโลก กวาดล้างภูผาธารา!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท