Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1611 ยกทัพโจมตี

ตอนที่ 1611 ยกทัพโจมตี
จันทร์เสี้ยวทอแสงส่องทั่วหล้า บางเรือนสุขบางเรือนเศร้า
ยามค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณฉลองที่หลินสวินได้ชัยใหญ่กลับมา ในค่ายทัพแปดดินแดนกลับมืดมนหดหู่
หลายวันก่อนความพ่ายแพ้ย่อยยับของทัพพันธมิตรแปดดินแดนยังติดตา ผ่านไปไม่กี่วันข่าวร้ายนองเลือดที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเซียนเหินก็ส่งกลับมา
ค่ายทัพแปดดินแดนแตกตื่นในชั่วขณะเดียว ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน!
ทั้งแปดดินแดนร่วมมือกันโจมตีเต็มกำลัง ยังไม่อาจสั่นคลอนเมืองอารักษ์มรรคของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ยามนี้แม้แต่บุคคลระดับผู้นำของแปดดินแดนร่วมมือกัน ยังถูกหลินสวินคนเดียวฆ่าสังหารทั่วทิศ บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน!
สุดท้ายก็เหลือแค่คุนเซ่าอวี่ จู๋อิ้งคง เซวี่ยชิงอีสามคนที่โชคดีหอบชีวิตกลับมาได้ นี่ช่างเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
“หลินสวินนั่น… แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
ผู้คนนับไม่ถ้วนใจสั่นสะท้าน
หลินสวินนั่นช่างเหมือนเทพมารที่ไม่อาจทัดเทียมคนหนึ่ง สองมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนเกือบสิ้นหวัง
“ไม่! องค์ชายของเผ่าข้าชืออู๋ซู่แข็งแกร่งระดับใด จะตายอยู่ที่สมรภูมิเซียนเหินได้อย่างไร”
ยังมีคนไม่อาจยอมรับข่าวร้ายนี้ แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
ชืออู๋ซู่ เลี่ยเฉียน สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียว เจี้ยนชิงเฉิน… แต่ละคนต่างเป็นผู้นำของดินแดนหนึ่ง องอาจกล้าหาญเหนือพิภพ ผงาดผยองเหนือผู้คนในระดับเดียวกันได้อย่างหยิ่งทะนง โชติช่วงชัชวาลดั่งดวงตะวันส่องประกายอยู่เหนือดินแดนฟากหนึ่ง
แต่ตอนนี้บุคคลแห่งยุคพวกนี้ที่เดิมทีน่าจะได้เจิดจรัสต่อไปในภายหน้า ล้วนตายในมือของหลินสวินคนเดียว!
นี่ดูน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย พอที่จะทำให้ใครก็ตามขวัญหนีดีฝ่อ
“จบกัน ทัพพันธมิตรแปดดินแดนของพวกเราออกโจมตีเต็มกำลัง แต่กลับสลัดขนหนีกลับ ล้มตายกันเป็นเบือ ยามนี้แม้แต่การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินก็ยังปิดฉากด้วยความพ่ายแพ้ย่อยยับ สถานการณ์ของการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนนี้… จะเปลี่ยนไปเช่นนี้จริงหรือ”
ผู้คนมากมายหน้าซีดเผือด อกสั่นขวัญหาย
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนที่มาจากแปดดินแดน เหยียบย่ำค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณด้วยอานุภาพทำลายล้างรุนแรง นั่นสง่างามระดับใด
แต่ตอนนี้ความสง่างามนั้นจะหายไปเช่นนี้หรือ
“น่าชังนัก! ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินสวินนั่น! ไอ้สวะบัดซบนั่น! หากไม่ใช่เขา แพะสองขาของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นมีหรือจะครอบครองพลังเช่นวันนี้ได้”
ผู้คนมากมายเคียดแค้นชิงชังจนเกือบคลุ้มคลั่ง
ตอนแรกที่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออก พวกเขาไม่เคยเห็นค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในสายตา มองพวกเขาเป็นแพะสองขา ทำลาย เหยียบย่ำ สบประมาทและเข่นฆ่าได้ตามใจ
ความจริงค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณตอนแรกก็เหลือทนเต็มที ได้แต่วิ่งพล่านไปทั่ว อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แค่คิดจะมีชีวิตต่อไปยังเป็นเรื่องยากลำบากหาใดเปรียบ
แต่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ กลับเริ่มต้นจากหลินสวินคนเดียว!
ตอนแรกเขาติดอยู่ในโลกมารโลหิต ตัวคนเดียวแต่กลับเข่นฆ่านองเลือดสามหมื่นลี้ สังหารจนโลกมารโลหิตปั่นป่วน ไม่มีใครจำชื่อของเขาไม่ได้
ต่อมาเขาสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นใหม่ กำจัดทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน ทำให้ค่ายทัพแปดดินแดนเริ่มถูกให้ความสำคัญและระแวดระวัง
ด้วยเหตุนี้เซวี่ยชิงอีจึงร่วมมือกับมกุฎอริยะกลุ่มหนึ่ง วางแหฟ้าตาข่ายดินที่ชายฝั่งทะเลผาดำหมายกำจัดหลินสวิน
แต่สุดท้ายพวกเซวี่ยชิงอีก็แพ้ย่อยยับ!
สถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ตอนนั้น ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณที่กลับมาจากแดนลับสนามแม่เหล็ก ปรากฏมกุฎอริยะแท้กลุ่มหนึ่ง ทำให้สถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณพลิกกลับมาได้ด้วยเหตุนี้
เวลานี้เองที่ค่ายทัพแปดดินแดนเริ่มระวังตัวอย่างแท้จริง มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจ แทบจะรวมกำลังพลทั้งหมดมากำจัดเขา
น่าเสียดาย…
ที่ล้มเหลวอีกแล้ว!
การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินแพ้แล้ว ทัพพันธมิตรแปดดินแดนออกโจมตีเต็มกำลังก็ล้มเหลว!
ถึงตอนนี้หลินสวินอาศัยพลังของตัวเองก่อคลื่นลมในสมรภูมิเก้าดินแดน เขียนสถานการณ์ของค่ายทัพเก้าดินแดนขึ้นใหม่
ส่วนค่ายทัพแปดดินแดนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนไม่อาจสงบด้วยเหตุนี้!
“แพ้แล้ว แพ้ในมือของหญิงสาวที่ไม่รู้ความเป็นมาคนเดียว…”
โลกยอดหยิน จู๋อิ้งคงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอย
เมื่อได้ข่าวว่าทัพพันธมิตรแปดดินแดนพ่ายแพ้ย่อยยับ ก็มีความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม
เดิมทีเขา คุนเซ่าอวี่ และเซวี่ยชิงอียังฝากความหวัง คิดว่าเพียงเหยียบย่ำเมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณได้ ค่ายทัพแปดดินแดนต้องยืนหยัดไร้พ่ายได้อย่างแน่นอน
ใครจะคิดว่าทัพพันธมิตรแปดดินแดนก็แพ้แล้ว!
จู๋อิ้งคงกำสองหมัดแน่น ดวงตาแทบถลน ลมหายใจหนักหน่วง ทั้งตัวมีแนวโน้มว่าจะคลุ้มคลั่ง
“ท่านพี่!”
จู๋อิ้งเสวี่ยก้าวเข้ามาในโถงใหญ่
“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!”
จู๋อิ้งคงแผดเสียงคำราม ในอดีตที่ผ่านมาคนที่เขาประคบประหงมที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้ แต่ตอนนี้แววตาของเขาเหมือนอสูรเหี้ยมเกรียม ทำให้จู๋อิ้งเสวี่ยตกใจจนแทบหนีหัวซุกหัวซุนออกจากโถงใหญ่ไป
“จบกัน ครั้งนี้จบเห่แล้วจริงๆ… ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ก็ควรฟังคำของเซวี่ยชิงอี ตอนแรกที่เจ้าสวะนั่นผงาดขึ้นมาก็ควรฆ่ามันทิ้งซะ!”
“น่าเสียดายที่สายไปแล้ว…”
ร่างกายของจู๋อิ้งคงสั่นระรัวขึ้นมาด้วยความโกรธ
“รวมพลเข้าเมืองให้หมด ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามก้าวออกจากเมือง!”
โลกขุมอุดร คุนเซ่าอวี่หน้าคล้ำเขียว เยียบเย็นถึงขีดสุด
เขาก็รู้ข่าวร้ายทั้งหมดแล้ว ในใจมีเลือดหลั่งริน ตอนนี้ได้แต่รวบรวมกำลังพลทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
‘ยังดีที่มีเมืองอารักษ์มรรคอยู่ เมืองนี้เป็นถึงเมืองที่ผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนใช้เลือดหัวใจทั้งหมดสร้างไว้ หวังว่ามันจะปกป้องค่ายทัพดินแดนโบราณขุมอุดรของข้าให้ไม่ดับสลายได้…’
คุนเซ่าอวี่พึมพำในใจ สีหน้าไร้ความรู้สึก
เขามีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้ ความมืดมิดจะมาเยือน!
โลกมารโลหิต
เซวี่ยชิงอีกำลังร่ำสุรา ท่าทางนิ่งสงบ ไม่โศกเศร้ายินดี ใครก็ดูไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดอะไรกันแน่
แต่บรรยากาศในโถงใหญ่กลับกดดันจนทำให้ผู้คนเกือบหายใจไม่ออก
เหล่าบุคคลสำคัญที่ยืนอยู่ในนั้นต่างกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ครู่ใหญ่เซวี่ยชิงอีวางจอกสุราลง ทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ผู้คนไม่รู้จักต้นไม้สูงทะยานเมฆ จนเมื่อมันสูงทะลวงเมฆแล้วถึงได้รู้… เมื่อสูงทะลวงเมฆ… ก็สายไปแล้ว ทุกอย่างล้วนสายไปแล้ว…”
น้ำเสียงหดหู่และโดดเดี่ยว
“นายน้อย…”
มีคนอยากจะพูด แต่กลับถูกเซวี่ยชิงอีโบกมือตัดบทกล่าว “ฟังข้าสักประโยค ตอนนี้ฉวยโอกาสหนีไปได้ไกลเท่าไรให้หนีไปไกลเท่านั้น บางที… ยามสมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉาก อาจยังมีโอกาสรอดชีวิตกลับไปที่ดินแดนโบราณมารโลหิตได้”
“นายน้อย ใช่ว่าพวกเราแปดดินแดนไม่มีกำลังต่อสู้อีก!”
มีคนกัดฟันกรอด ยังคงไม่พอใจ
เซวี่ยชิงอีไม่โกรธ ยกจอกเหล้าขึ้นละเลียดอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เมื่อรังคว่ำผู้คนย่อมรู้สึกไม่ปลอดภัย พวกเขา… ไว้ใจไม่ได้”
กล่าวถึงตอนท้าย น้ำเสียงเขาต่ำลึก แฝงความเกลียดชังที่กดข่มถึงขีดสุดอยู่รางๆ
“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นพวกเราก็ยังมีเมืองอารักษ์มรรคอยู่!”
และมีคนเอ่ยปาก ใครก็ไม่พอใจที่ต้องยอมแพ้ หนีตายเหมือนสุนัขไร้บ้านเช่นนี้
“หึๆ”
เซวี่ยชิงอีเผยให้เห็นรอยยิ้มหยัน “ต่อให้เมืองนี้มั่นคงแค่ไหน ยังจะสู้เมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณที่ขวางการฆ่าฟันอย่างดุเดือดเต็มกำลังของทัพพันธมิตรแปดดินแดนได้หรือ”
“อย่าดูถูกหลินสวินอีก ในสมรภูมิเก้าดินแดนยามนี้ คนที่ดูถูกเขาหากไม่ตายไปก่อนก็เหมือนข้า ได้แต่กล่าวโทษสงสารตัวเอง”
เขาเว้นช่วงไปก่อนหยัดร่างขึ้น กวาดสายตามองทุกคนแล้วโบกมือกล่าว “หากพวกเจ้าอยากอยู่ต่อก็อยู่ต่อเถอะ”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าออกไปนอกเรือน เงาหลังหดหู่ มีความโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
“นายน้อย ท่านจะไปไหน”
มีคนร้องเรียก
“ยังไปไหนได้อีก เผ่นสิโว้ย! ฮ่าๆๆๆ…”
เซวี่ยชิงอีไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เงาร่างหายไปนอกเรือนใหญ่ เสียงหัวเราะดูเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด ก็ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะตัวเองหรือเยาะเย้ยคนอื่น
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อกสั่นขวัญหาย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
โลกรกร้างโบราณ เหนือเมืองอารักษ์มรรคยานขนส่งอวกาศลอยอยู่บนฟ้าสูง
เหล่ามกุฎอริยะอย่างหลินสวิน ซย่าจื้อ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ เจ้าคางคก อาหลู่ เซี่ยวชางเทียนต่างรวมตัวกัน
ห่างออกไป ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนยืนมองจากไกลๆ ทัพใหญ่จะออกศึก พวกเขาล้วนมาส่ง!
บรรยากาศเคร่งขรึม บนหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สองปีแล้วที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณถูกกำราบมานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้เริ่มจู่โจมกลับ ชี้อาวุธใส่ค่ายทัพแปดดินแดน!
นี่ช่างเหมือนปาฏิหาริย์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่วันนี้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้ในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว!
ความอัปยศของผู้แกล้วกล้าที่ล่วงลับ จะได้ลบล้างในวันนี้!
พวกเซ่าเฮ่าต่างจิตใจปั่นป่วน โลหิตเดือดพล่าน ไม่ง่ายเลยที่เลือดและความแค้นของบรรพชนนับไม่ถ้วนจะมีโอกาสชะล้างด้วยเลือดในที่สุด
ความอัปยศที่ดินแดนรกร้างโบราณได้รับในอดีต ถึงเวลาชะล้างแล้ว!
นัยน์ตาดำดุจอสนีของหลินสวินกวาดมองทั่วลาน ริมฝีปากขยับพูดบางคำอย่างแผ่วเบา
“ออกเดินทาง!”
ออกเดินทาง!
ปณิธานองอาจกระหายเนื้อของศัตรู คำชวนหัวคือกระหายเลือดของแปดดินแดน!
ตูม…
ยานขนส่งอวกาศส่งเสียงกัมปนาท บรรทุกพวกหลินสวินกดอัดชั้นเมฆจากไปภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้อง
“ต้องชนะ!”
มีคนตะโกนลั่น เสียงสั่นสะเทือนท้องนภา
“ต้องชนะ!”
“ต้องชนะ!”
ในเมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้น ไม่ว่าชายหญิง ไม่ว่าพลังปราณสูงต่ำ ยามนี้ทุกคนต่างส่งเสียง หน้าตาตื่นเต้น เต็มไปด้วยความมุ่งหวังปรารถนา
กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงตะโกนครั่นครืนราวอสนีบาต
จ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดมองยานขนส่งอวกาศที่ค่อยๆ หายไปจากขอบฟ้าแล้วพึมพำในใจ
‘ดินแดนรกร้างโบราณมากวีรชน ออกศึกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่เคยขลาด เลือดวีรชนย่อมกล้าหาญ องอาจผ่าเผยใจเหล็ก คอยดูฝีมือพวกเราปะซ่อมรอยแยกฟ้า!’
โลกยอดหยิน
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ยานขนส่งอวกาศไร้สิ่งกีดขวางตลอดทาง พุ่งเข้าไปในอาณาเขตที่ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินควบคุมดูแล!
บนยานสำเภาหลินสวินหลับตาทำสมาธิ เงียบสงบเหมือนรูปปั้นหิน แน่นิ่งไม่ไหวติง
ซย่าจื้อนั่งอยู่ข้างๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานัปการ นางกำลังกินทีละคำๆ สีหน้าเงียบสงบ
ความเร็วของยานขนส่งอวกาศรวดเร็วถึงที่สุด พุ่งตรงไปข้างหน้า ตลอดทางไม่เจออุปสรรคใดๆ
ไม่ทันไรเมืองแห่งหนึ่งปรากฏบนเส้นขอบฟ้าห่างออกไป!
เมืองนั้นทอดยาวขึ้นลง สูงใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น สีโลหิตอบอวลไปทั้งเมือง ดูบาดตาหาใดเปรียบ
นี่ก็คือเมืองอารักษ์มรรคของค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน ขนาดใหญ่มหึมา กำแพงเมืองสูงกว้าง ในอิฐแต่ละก้อนสาดด้วยโลหิตแดงก่ำ ก่อด้วยกระดูกขาวโพลน
นั่นคือเลือดและกระดูกของบรรพชนดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วน!
เวลานี้บนเมืองอารักษ์มรรคที่สูงตระหง่านเสียดยอดเมฆ จู๋อิ้งคงหน้าคล้ำเขียว เบิกตากว้างอย่างยากจะเชื่อ
เขาคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมาจริงๆ ทั้งยังมุ่งเป้ามาที่ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินเป็นแห่งแรก!
“นายน้อย เจ้าปีศาจหลินนั่นมาแล้ว!”
ผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ลนลานเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
“ลนลานอะไร แค่ปกป้องเมืองนี้ได้ พวกเราก็จะยืนหยัดไร้พ่าย!”
จู๋อิ้งคงสูดหายใจลึก นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหดกล่าวเสียงขรึม “สั่งการลงไป เปิดกระบวนค่ายกลพิทักษ์เมือง!”
…………………
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท