แน่นอนว่าเฉินโม่ไม่ลืมอยู่แล้ว เพราะเป็นผู้บำเพ็ญ ถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายลืมเรื่องนั้นเอง แต่ละเรื่องที่ผ่านมา เฉินโม่ไม่เคยลืมเลย
“พ่อหมายถึงการทดสอบประจำปีของตระกูลตอนอายุ 18 ปีเหรอ” เฉินโม่เอ่ยขึ้น
เฉินจิงเย่พยักหน้าจริงจัง “ใช่ การทดสอบของตระกูล ตอนนั้นนายไม่เอาแม้กระทั่งทุนตั้งต้นที่ตระกูลให้ นายแน่ใจเหรอว่าจะสละสิทธิ์”
“สละสิทธิ์เหรอ ทำไมต้องสละสิทธิ์ล่ะ” เฉินโม่ย้อนถามอย่างไร้เดียงสา
เฉินจิงเย่จ้องเฉินโม่ “ฉันจะพูดกฎการทดสอบของตระกูลให้นายฟังอีกรอบ นายฟังจบแล้วค่อยตอบคำถามเมื่อกี้ ไอ้เด็กดื้อ คราวนี้นายตั้งใจฟังให้ดี!”
“อื้ม” เฉินโม่ยังคงมีท่าทางไม่แยแสเหมือนเดิม เฉินจิงเย่โมโหจนถลึงตา
“การที่ตระกูลเฉินของเราสูงตระหง่านในหนานซูมาเป็นร้อยปีไม่ล้มลง เรียกได้ว่ากฎข้อนี้มีประโยชน์มาก ตระกูลจะทดสอบลูกหลานที่อายุครบ 18 ปี โดยมอบทุนเริ่มต้นให้คนละสิบล้าน มีเวลาหนึ่งปี ให้แต่ละคนพัฒนาตามอิสระ ดูว่าใครจะสร้างผลประโยชน์จากเงินสิบล้านได้มากที่สุด”
“การทดสอบนี้มีข้อดีหลายอย่าง สามารถทำให้ลูกหลานในตระกูล สัมผัสประสบการณ์ก่อตั้งธุรกิจด้วยตัวเอง และสามารถกระตุ้นความฮึกเหิมของลูกหลานในตระกูล”
“ตอนนั้นฉันเป็นอันดับหนึ่ง ในบรรดาสิบสามคนที่อยู่ในช่วงเดียวกัน แต่ทว่าต่อมา……” ความรู้สึกคะนึงหาฉายออกมาทางแววตาเฉินจิงเย่ เหมือนกำลังนึกถึงภาพในตอนนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินโม่ได้ยินเฉินจิงเย่พูดถึงเรื่องในอดีต ตั้งแต่เขาจำความได้ ก็ไม่เคยได้ยินเฉินจิงเย่พูดถึงเรื่องในอดีต หลังจากโตเฉินโม่เพิ่งรู้ ใช่ว่าเฉินจิงเย่ไม่อยากพูด แต่เมื่อคนคิดถึงเรื่องในอดีต มักจะเกิดความรู้สึกละเลยขึ้นมาได้ง่ายๆ
เฉินจิงเย่ไม่อยากให้ตัวเองเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เขาต้องก้าวไปข้างหน้า หยุดพักไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ถึงจะทำให้จิตใจตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาได้
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องในอดีตแล้ว! เด็กดื้ออย่างนาย ทำให้คนแก่อย่างฉันเสียหน้าหมดแล้ว” เฉินจิงเย่ถลึงตาใส่เฉินโม่ด้วยใบหน้าโมโห แต่เฉินโม่ดูออกว่าเขาไม่ได้โกรธ
“พ่อ การประชุมประจำปียังไม่เริ่มเลย พ่อแน่ใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าลูกชายตัวเองจะแพ้” เฉินโม่มองเฉินจิงเย่ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ มีความยียวนอยู่นัยน์ตา
เฉินจิงเย่ถลึงตาใส่เฉินโม่ แล้วพูดอย่างโมโหว่า “ขนาดเงินทุนเริ่มต้นนายยังไม่เอา อย่าบอกนะว่าจะชนะได้ นายคิดว่าพ่อโง่เหรอ!”
“อัจฉริยะที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินทุนเริ่มต้นนั่นเลย พ่ออย่าสบประมาทลูกชายตัวเองสิ” รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้นบนใบหน้าเฉินโม่ เขาอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้เฉินจิงเย่ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่ทำให้เฉินจิงเย่ตกใจ
เฉินจิงเย่รู้จักเฉินโม่น้อยมาก เขารู้น้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับหลี่ซู่เฟินและเวินฉิง ถึงขั้นที่ในความรู้ความเข้าใจของเฉินจิงเย่ เฉินโม่ยังเป็นลูกคนรวยที่ไม่เอาไหนเหมือนเดิม
ดังนั้นเฉินโม่จึงอยากเตือนเฉินจิงเย่เอาไว้ล่วงหน้า
ช่วยไม่ได้ที่เฉินจิงเย่ไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนทำอะไรตามความเป็นจริง เกลียดคนมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นที่สุด
“โอเค ไม่ต้องโม้แล้ว แค่ครั้งนี้นายไม่สร้างปัญหาให้ฉันก็พอแล้ว” เฉินจิงเย่ดุแบบติดตลก
เฉินจิงเย่หุบยิ้ม แล้วพูดว่า “เราวกเข้ามาเรื่องเดิม งานประชุมประจำปีครั้งนี้ ฉันแนะนำให้นายสละสิทธิ์เถอะ แบบนี้จะได้โดนหัวเราะเยาะน้อยหน่อย”
เฉินจิงเย่คิดว่าแม้แต่เงินทุกตั้งต้นเฉินโม่ยังไม่เอา จะสร้างความดีความชอบในงานประชุมประจำปีได้ยังไง แทนที่จะโดนคนอื่นหัวเราะเยาะในงานประชุมประจำปี สู้สละสิทธิ์ดีกว่า จะได้อับอายน้อยลงด้วย
เฉินโม่พูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อมั่นใจในตัวผมหน่อยได้ไหม ผมรับรองเลยว่าไม่มีทางแพ้”