กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ – บทที่ 42

บทที่ 42

นี่มัน… หานอ๋องกำลังข่มขู่เขา

อัครเสนาบดีกู้ปาดเหงื่อและลังเลว่าจะอธิบายอย่างไรดี

ทว่าจู่ๆ เยี่ยจิ่งหานก็เปลี่ยนเรื่องโดยที่เขาไม่ทันคาดคิด

“ในเมื่อคุณหนูสามกับเจ้าตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันแล้ว เช่นนั้นคงไม่สะดวกที่จะให้นางอยู่ในจวนอัครเสนาบดีต่อ คงจะดีกว่าถ้าย้ายไปอยู่ที่จวนอ๋องของข้า ถึงอย่างไร… ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องแต่งเข้าเรือนข้าอยู่แล้ว”

กู้ชูหน่วนยิ้มแหย “ท่านอ๋อง ทำเช่นนั้นคงไม่ดีนัก ข้ามิใช่คนที่คู่ควรกับท่านอ๋อง”

พึ่บพั่บๆ

องครักษ์หลายสิบคนชักดาบออกมาและเข้ามาล้อมกู้ชูหน่วนเอาไว้ รัศมีแห่งความหนาวเหน็บนี้บ่งบอกให้รู้ว่าถ้ากู้ชูหน่วนปฏิเสธ ดาบเหล่านั้นจะแทงทะลุร่างของนางทันที

อะไรคือการขอร้อง นี่มันคือการบังคับชัดๆ

คนของจวนอัครเสนาบดีต่างหวาดผวาและไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากพูดอะไร

ชิวเอ๋อร์รีบดึงแขนเสื้อของกู้ชูหน่วน กระซิบกับนางว่า “คุณหนู เราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

“ในเมื่อท่านอ๋องเชื้อเชิญอย่างจริงใจ ถ้าปฏิเสธไปก็เหมือนกับการไม่ให้ความเคารพ”

หลังจากสิ้นเสียง เหล่าองครักษ์ก็ลดดาบลงและกลับไปยืนอย่างเป็นระเบียบเหมือนเดิม ทำราวกับว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“เชิญ”

ในจุดที่ลับตาคน มุมปากของกู้ชูหน่วนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มประชดประชัน จากนั้นจึงตามเยี่ยจิ่งหานและคนอื่นๆ ออกไปจากจวนอัครเสนาบดี

แม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจะจากไปแล้ว แต่ผู้คนในจวนอัครเสนาบดีก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง

เขาอยากจะลุกขึ้น ทว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนลุกไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่คุกเข่าอยู่อย่างนั้น

“นายท่าน ได้ยินมาว่าเทพแห่งสงครามฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา วิธีการก็โหดเหี้ยมป่าเถื่อน เขาคงจะไม่มาแก้แค้นพวกเราใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อัครเสนาบดีกู้ตัวสั่นเทา

เขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร อยู่ๆ เทพแห่งสงครามที่มักเก็บเนื้อเก็บตัวก็มาเยี่ยมเยือนที่จวนอัครเสนาบดีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เขาคิดว่าจวนอัครเสนาบดีกำลังจะพบกับหายนะเสียแล้ว แต่เทพแห่งสงครามกลับปล่อยพวกเขาและพาบุตรสาวของเขาไป

ในรถม้าคันหรู

กู้ชูหน่วนกับเยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน

กู้ชูหน่วนห่อตัวพลางกอดเนื้อตัวที่สั่นเทาของตัวเองไว้ ราวกับว่าคนที่อยู่ข้างกายเป็นหมาป่าร้ายที่พร้อมจะขย้ำนางได้ทุกเมื่อ

เยี่ยจิ่งหานยิ้มเยาะ “ฝีมือการแสดงของคุณหนูสาม เรียกได้ว่าไม่มีใครในโลกเทียบได้”

“ท่านอ๋อง ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร”

“วันที่เจ้าไปสำนักศึกษาวังหลวงวันแรก ข้าเห็นหมดทุกอย่างแล้ว”

ให้ตาย

พวกถ้ำมอง นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะแอบสอดส่องนางอยู่ในมุมมืด

“วันนั้นองค์หญิงลำพองตนเกินไป ข้าก็เลย…”

“ชกอาจารย์ ตบองค์หญิง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกล้าทำ”

“วันนั้นข้าโกรธมาก หลังจากนั้นก็ยังนึกตำหนิตนเองและกลัวมากๆ”

“ที่ตัวของเจ้ามีกลิ่นสมุนไพรจางๆ ต่อให้เช็ดออกไป แต่กลิ่นอันเบาบางนั่นก็เหมือนจะผสานเข้ากับกายของเจ้าไปแล้ว ดังนั้นจึงทำให้พอจะรับรู้ได้”

“ท่านอ๋อง ท่านคงได้กลิ่นผิดไป”

ผู้ชายคนนี้เป็นหมาหรือไง

นางอุตส่าห์ใช้สมุนไพรชนิดพิเศษเพื่อกำจัดกลิ่น แต่เขาก็ยังจะได้กลิ่นอีก

นางรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นแววตาที่สงบแน่วแน่ของเยี่ยจิ่งหาน ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะมีทุกสรรพสิ่งและมองผ่านความคิดของนางได้ทั้งหมด

“เจ้ามีปานสีชาดรูปดอกเหมยที่หลังใบหู และบังเอิญว่าสตรีนางนั้นก็มีเหมือนกัน”

กู้ชูหน่วนลูบที่หลังใบหูของตัวเองและพูดอะไรไม่ออก

ที่หลังหูของนางมีปานรูปดอกเหมยงั้นหรือ นางไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ

ผู้ชายคนนี้คอยสังเกตอย่างละเอียด

จากคำพูดทั้งหมดที่เขากล่าวมาทำให้กู้ชูหน่วนรู้ว่า การแสร้งทำต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับการอุดหัวตัวเองแล้วขโมยระฆัง หลอกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นไม่สำเร็จ

นั่นเองนางจึงนั่งยืดหลังตรง ภาพลักษณ์ที่น่าเวทนาเมื่อครู่อันตรธานหายไป และสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความโอหังเย่อหยิ่งและความมั่นใจในตนเอง

นางยิ้มอย่างเบิกบาน

“ว่าไง พ่อหนุ่มรูปงาม ไม่เจอกันแค่วันเดียวท่านดูหล่อเหลาขึ้นอีกแล้วนะ”

“เจ้ามันช่างบังอาจนัก”

เมื่อเห็นแววตาที่ไร้ศีลธรรมคู่นี้และนึกถึงทุกอย่างที่นางเคยทำกับเขา เยี่ยจิ่งหานก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ไว้ได้ ความโกรธของเขาคุกรุ่น เขายกมือขวาขึ้นมาและอยากจะบีบนางเสียให้ตาย

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท