ในชั้นเรียนวันนี้มีอาจารย์เพียงไม่กี่คน ซึ่งคนบรรยายก็คืออาจารย์สวี ทันทีที่ได้ยินเขาพูดจู้จี้ไปเรื่อย กู้ชูหน่วนก็หาวและฟุบหลับบนโต๊ะทันที
ปึ่ง!
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนตบโต๊ะนางอย่างแรงและทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ใครช่างชั่วร้ายนัก มาตบโต๊ะข้าเช่นนี้” กู้ชูหน่วนชูกำปั้นและชกไปเต็มเหนี่ยว
ปั่ก!
กำปั้นนั้นกระทบเข้ากับดวงตาข้างขวาของอาจารย์สวีจนเขาร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ฉับพลันนั้นเบ้าตาของเขาก็บวมเขียวขึ้นมา
“กู้ชูหน่วน แม่คนเหลือขอ แม้แต่อาจารย์เจ้าก็ยังกล้าชก ข้า… ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาท ให้พระองค์ลงโทษเจ้า”
“ไอหยา ที่แท้ก็ท่านอาจารย์สวีนี่เอง ท่านบอกว่าท่านสอนของท่านอยู่ดีๆ แล้วเหตุใดจึงมาตบโต๊ะของข้าเล่า ข้ากำลังฝันถึงกลุ่มโจรอยู่เลย ข้าคิดว่าพวกโจรนั่นจะเหยียดหยามข้า ข้าก็เลยคิดว่าท่านเป็นพวกโจรนั่น”
หน้าอกของอาจารย์สวีกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ “นอนหลับในเวลาเรียน เจ้ายังจะคิดว่ามันถูกอีกรึ”
“เมื่อวานท่านรับปากเองมิใช่หรือว่าให้ข้าหลับในห้องเรียนได้ ถ้าท่านจะไปทูลฝ่าบาทข้าก็ไม่ถือสาหรอกนะ อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ท่านให้ข้าท่องกลอนบทสุดท้ายของบทกวีสู่หลีและอนุญาตให้ข้าหลับในห้องเรียนได้ คนทั้งชั้นเรียนได้ยินกันหมด ต่อให้อยากคืนคำท่านก็ทำไม่ได้แล้ว”
อาจารย์ทั้งหมดในชั้นเรียนหันมามองอาจารย์สวีพร้อมกัน อาจารย์สวีเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่และได้แต่ตวาดว่า “สอนไปก็เสียเวลาเปล่าๆ…”
องค์หญิงตังตังกับกู้ชูหลานยิ้มเยาะอย่างดูถูก
หัวขี้เลื่อยอย่างนี้ยังคิดจะเอาชนะการแข่งขันอีก ฝันลมๆ แล้งๆ
ทุกคนในสำนักศึกษาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ “กู้ชูหน่วนกล้าดีอย่างไรถึงได้ชกอาจารย์เช่นนั้น”
“นางกล้าเอาชีวิตมาเดิมพันว่าตัวเองจะชนะ ยังจะมีอะไรที่นางทำไม่ได้อีกรึ”
“ข้าว่านางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ชะๆๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดี เรารอดูเรื่องตื่นเต้นกันดีกว่า”
หลิ่วเย่ว์และคนอื่นๆ พูดไม่ออก
ตอนกลางคืนพี่ใหญ่ไม่ได้หลับได้นอนงั้นหรือ? ถึงได้มานอนในห้องเรียนทุกวัน นางน่าจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาวังหลวงแห่งนี้เลยก็ว่าได้
กู้ชูหน่วนหันไปบุ้ยปากให้เซี่ยวอวี่เซวียน บอกเป็นนัยๆ ว่า “ทำไมเจ้าไม่เรียกข้าตอนที่อาจารย์เดินมา”
เซี่ยวอวี่เซวียนกลอกตาใส่นาง ให้นางเข้าใจด้วยตัวเอง
เขากระซิบเรียกนางไม่รู้ตั้งกี่รอบ ดึงแขนเสื้อนางไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเพราะนางหลับเป็นตายเองต่างหาก
กู้ชูหน่วนขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือและเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้ามันเข็นไม่ขึ้นแล้วจะสอนข้าไปเพื่ออะไร ท่านจะทำอะไรก็ทำไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้สนใจข้าเลย”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา นอกจากอาจารย์สวีจะพูดไม่ออกแล้ว อาจารย์ทุกคนที่อยู่ในห้องยกเว้นอาจารย์ซั่งกวนต่างมองมาที่นางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
มีคนจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาวังหลวง ที่นางเข้ามาเรียนที่นี่ได้นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ แต่นางกลับกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
“จะ… เจ้า หากเจ้ากล้าหลับอีก ข้าจะลงโทษให้เจ้าวิ่งรอบสำนักศึกษาวังหลวงห้าสิบรอบ”
อาจารย์สวีไม่เคยเจอนักเรียนคนไหนที่อวดดีขนาดนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทจำต้องให้นางอยู่ที่สำนักศึกษาวังหลวง เขาคงขับไล่นางไปนานแล้ว
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มเล็กน้อย เสียงของเขาสดชื่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ได้ยินแล้วทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก “ข้ามีข่าวดีจะมาบอกพวกท่านทุกคน ปีนี้ฝ่าบาททรงกรุณามอบของขวัญให้เป็นพิเศษ ให้สำนักศึกษาวังหลวงของเราเลือกคนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เพิ่มหนึ่งคนโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ”
ว้าว…
คำพูดนี้เป็นเหมือนก้อนหินขนาดมหึมาที่ตกลงไปในทะเลสาบอันนิ่งสงบจนเกิดเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่
สามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้โดยไม่ต้องประลองฝีมือ มีเรื่องดีๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
ขอแค่เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้ก็จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว
“ท่านอาจารย์ซั่งกวน นั่นหมายความว่าปีนี้จะมีผู้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สี่คนใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่”
“แล้วเราจะเลือกอย่างไรขอรับท่านอาจารย์”
ทุกๆ คนต่างถูไม้ถูมือ ภาวนาให้เรื่องดีๆ บังเกิดขึ้นกับตัวเอง
“เกมตีกลองส่งดอกไม้ ให้พวกท่านส่งดอกไปเรื่อยๆ ตามลำดับ เมื่อเสียงกลองหยุดลง ดอกไม้อยู่ที่ใคร คนนั้นจะได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ”
“นั่นไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับดวงหรอกหรือ”