กู้ชูหน่วนกัดแอปเปิลพลางใช้มือข้างหนึ่งยันม้านั่งตัวยาวและลุกขึ้นไปขวางเอาไว้
“ช้าก่อน ท่านกงกง น้องห้าเจอเรื่องสะเทือนใจอย่างหนักจนความคิดผิดปกติ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังพูดถึงอะไร เหตุใดเราจึงต้องไปใส่ใจคนวิกลจริตด้วยเล่า”
หม่ากงกงมีท่าทีเคารพนบนอบขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นกู้ชูหน่วน เขายิ้มและกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูสามนี่เอง แม่นางผู้นี้ดูหมิ่นใส่ร้ายคุณหนูสามอย่างโจ่งแจ้ง แต่คุณหนูสามกลับไม่ถือโทษโกรธเคือง ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก”
“คนเป็นพี่น้องกันย่อมทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา ผ่านแล้วก็ผ่านกันไป ไม่ทราบว่าท่านกงกงพอจะปล่อยไปสักครั้งได้หรือไม่”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารประทับใจกู้ชูหน่วนขึ้นมากโข
แม้ว่าคุณหนูสามตระกูลกู้จะเป็นคนหัวขี้เลื่อยและมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่อย่างน้อยนางก็เป็นคนจิตใจดี
ดวงตาของหม่ากงกงวาววับไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ในเมื่อคุณหนูสามออกปากเอง เช่นนั้นคราวนี้จะไว้ชีวิตนางก็ได้ ทหารเข้ามานี่ มาพานางออกไป”
คำว่าโบยจนตายเมื่อครู่นี้ทำให้กู้ชูหลานหวาดกลัวจนแข่งขาอ่อน ตอนนี้นางทำได้เพียงปล่อยให้ทหารองครักษ์ลากตัวออกไป
นางรู้ว่าชีวิตของนางจบสิ้นลงแล้ว
กู้ชูอวิ๋นมีสติปัญญามากกว่านางและรู้ว่าหากยังก่อปัญหาต่อไปก็มีแต่จะทำให้พวกนางลำบาก ดังนั้นจึงได้แต่ยอมให้ทหารองครักษ์พาตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจและเจ็บปวด
กู้ชูหน่วนแทะแอปเปิลดังกร้วมและนั่งลงที่เดิม
เซี่ยวอวี่เซวียนขยับเข้ามาใกล้ “แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าช่วยขอร้องแทนนางทำไมน่ะ”
กู้ชูหน่วนกลอกตาใส่เขาแล้วเบ้ปาก “ถ้านางตาย ข้าจะไปเอาเงินสามแสนตำลึงจากใครล่ะ”
นั่นซี เขารู้อยู่แล้วว่าแม่สาวอัปลักษณ์ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
สีหน้าของอัครเสนาบดีกู้ดำเหมือนก้นหม้อ เขาแทบอยากให้การชุมนุมแข่งขันวิชาการจบลงเสียเดี๋ยวนี้
ทางด้านซ้ายของกู้ชูหน่วนคือเจ๋ออ๋อง ส่วนทางด้านขวาคือเยี่ยเฟิง นางขยับเข้าไปใกล้เยี่ยเฟิงและเอียงศีรษะเข้าไปหา
“เหตุใดเจ้าจึงมาเข้าร่วมงานชุมนุมแข่งขันวิชาการรึ เพราะชื่อเสียงหรือเปล่า หรือว่าอยากเป็นขุนนาง”
เยี่ยเฟิงนั่งยืดหลังตรงและไม่ยอมตอบเลยจนนิดเดียว
กู้ชูหน่วนกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย
“ตัวแทนจากรัฐหวามาถึง…”
“ตัวแทนจากรัฐฉู่มาถึง…”
“ตัวแทนจากรัฐจ้าวมาถึง…”
เหล่าขุนนางพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับ
กู้ชูหน่วนหาวไปหนึ่งทีและนั่งอยู่อย่างนั้น จากนั้นจึงเอียงคอมองมองทูตตัวแทนจากแต่ละรัฐ
ทูตจากแต่ละรัฐมีเพียงห้าหกคน นั่นคือทั้งหมดที่มี
ระหว่างนั้นนางรู้สึกได้ว่ามีสายตาคอยจับจ้องนางอยู่เป็นครั้งคราว
นางเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับดวงตาที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกู้ชูหน่วนจึงรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อมองเห็นสายตาคู่นั้น มันเป็นความรู้สึกที่สงบและนางก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งกายา
เมื่อมองชายผู้นั้นอีกครั้งก็พบว่าเขาอายุประมาณยี่สิบกว่าปี
เขาสวมเสื้อผ้าสีเขียวอ่อนชนิดที่มีรอยผ่าด้านหน้า ที่ชายเสื้อปักลายไม้ไผ่ซึ่งกำลังลู่ลม ดูแล้วเหมือนเป็นผู้ที่มารยาทงดงามและสุภาพเรียบร้อย
เส้นผมสีดำยาวของเขาถูกมัดไว้อย่างเรียบง่าย ไม่เรียบร้อย และดูเป็นตัวของตัวเอง
ดูๆ ไปแล้วเขาค่อนข้างให้ความรู้สึกคล้ายกับซั่งกวนฉู่ ทว่าซั่งกวนฉู่เป็นคนร้ายกาจและมีแววตาที่ลุ่มลึกยากจะคาดเดา นางมองไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วซั่งกวนฉู่เป็นคนอย่างไร
ทว่าชายที่อยู่ตรงหน้ามีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้นางหวนคิดถึงและรู้สึกราวกับกำลังถูกปกป้องคุ้มครองเอาไว้ในฝ่ามือคู่นั้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา กู้ชูหน่วนก็อดยิ้มไม่ได้
“เสี่ยวเซวียนเซวียน คนที่สวมชุดสีเขียวอ่อนตรงนั้นคือใครหรือ”
“แม้แต่เขาเจ้าก็ไม่รู้จักงั้นหรือ เขาคือเซียนกวีอี้เฉินเฟยยังไงล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงได้หน้าไม่อายขนาดนั้น เป็นถึงเซียนกวีที่โด่งดังไปทั่วหล้า คิดไม่ถึงว่ายังจะมาร่วมแข่งขันการชุมนุมวิชาการด้วย นั่นมันไม่นับเป็นการเอาเปรียบคนอื่นหรืออย่างไร”
ที่แท้เขาก็คือเซียนกวีนั่นเอง เขาอายุยังน้อยและรูปงามมากจริงๆ