พู่กันขนหมาป่าในมือของเจ๋ออ๋องตกลงพื้นเสียงดัง ใบหน้าของเขาซีดเผือด
เขาตวาดเสียงสั่น “กู้ชูหน่วน เจ้าใช้อุบายกับข้า”
กู้ชูหน่วนตัวเอียงกระเท่เร่จนเกือบจะตกจากเก้าอี้ นางที่กำลังสัปหงกตกใจและตวาดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ถ้าท่านไม่สบายก็รีบไปรักษาซะไป๊ มาร้องโหยหวนอะไรอยู่ที่นี่ เอะอะจนข้านอนหลับอย่างสงบสุขไม่ได้เลย”
เจ๋ออ๋องโกรธจนตาเหลือก เขาฝืนคว้าโต๊ะไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตนเองล้มลงไป
อะไรที่เรียกว่าเอะอะจนทำให้นางนอนไม่หลับ?
นางหลับอยู่แต่ยังเขียนบทกวีดีๆ ออกมาได้ เขาจะอดทนกับอะไรเช่นนี้ได้อย่างไร นี่นางต้องการให้เขาโมโหจนตายทั้งเป็นใช่หรือไม่
“เจ้าเชี่ยวชาญทั้งฉิน หมากรุก กวี ประดิษฐ์อักษรและการวาดภาพใช่หรือไม่? ในเมื่อมีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องแกล้งทำเป็นคนหัวขี้เลื่อยด้วย”
กู้ชูหน่วนลูบคางและพูดอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เขาตะลึง
“เอ่อ… เหมือนว่าอยู่ๆ ในหัวก็เป็นประกายวาบแล้วรู้ขึ้นมาเอง ผ่านไปครู่เดียวข้าก็ลืมหมดแล้ว”
เหลวไหล
ฟังนางพูดไร้สาระไปเรื่อย
นางจงใจแสร้งทำเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือแน่นอน
เซี่ยวอวี่เซวียนพึมพำกับตัวเอง “มิน่าเล่าแม่สาวอัปลักษณ์จึงเอาแต่ชวนคนมาพนันกับนาง ที่แท้นางก็จงใจปลอมตัวเป็นถุงฟางเพื่อให้ตัวเองชนะได้เงินมากๆ”
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่ได้พูดเสียงดัง ทว่าทุกคนได้ยินกันหมด
ทุกคนตระหนักรู้ขึ้นมาทันที
มิน่าเล่า ทุกครั้งนางจึงพยายามหาทางทำให้ทุกคนมาเดิมพันกับนาง ที่แท้นางก็มั่นใจแต่แรกแล้วว่าตัวเองจะชนะ
คุณหนูสามตระกูลกู้ช่างฉลาดเลิศล้ำ
หลังจากการชุมนุมแข่งขันวิชาการสิ้นสุดลง นางไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แต่ยังจะกลายเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยและเบียดเข้าสู่รายชื่อพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งรัฐเยี่ยด้วย
ปรมาจารย์หมากรุกอวดอย่างภูมิอกภูมิใจว่า “ดูสิ นั่นคือท่านอาจารย์ของข้า ช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์น่าอัศจรรย์ใจ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไร้คนเทียบเทียม ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
ทูตจากรัฐฉู่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ระฆังวิญญาณสะบั้นถูกนางชิงไปแล้ว เขายังจะภูมิใจอะไรอีก? ปรมาจารย์หมากรุกเป็นชาวรัฐฉู่แน่หรือ
จักรพรรดิเยี่ยกลืนพระเขฬะและประทับนิ่งอยู่เป็นนาน
พระองค์พระราชทานการอภิเษกแบบใดให้เทพแห่งสงคราม?
ยังเปลี่ยนพระทัยทันหรือไม่
เหตุใดพระองค์จึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างนั้น
อัครเสนาบดีกู้ยิ้มแย้มและเอ่ยชมว่า “ดูสิ นั่นบุตรสาวคนที่สามของข้า ข้ารู้มานานแล้วว่าลูกสาวคนนี้ของข้าเยี่ยมยอดเกินคนธรรมดา”
ใต้เท้าอู๋เยาะเย้ย “เถอะน่า ไหนล่ะบุตรสาวคนที่สามของท่าน ข้าจำได้ว่ามีบางคนบอกว่าตัดขาดกับบุตรสาวคนที่สามไปแล้ว นางไม่ใช่ลูกสาวของท่านอีกต่อไปแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอัครเสนาบดีกู้ชะงักเมื่อเห็นทุกคนมองมาที่เขาอย่างดูถูก
เขาปิดปากและข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
ดวงตาที่น่าหลงใหลของอี้เฉินเฟยแฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร
แววตาของซั่งกวนฉู่ซับซ้อนยากจะมองออกว่ากำลังคิดอะไร ในขณะที่อาจารย์สวีตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าคุณหนูสามตระกูลกู้แตกต่างจากคนอื่น พวกท่านไม่รู้อะไร วันที่นางมาเรียนที่สำนักศึกษาวันแรก นางท่องบทกวีสู่หลีที่หายสาบสูญไปนานด้วย”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องบทกวีสู่หลีเหมือนกัน ยังคิดอยู่เลยว่านางคงบังเอิญไปอ่านเจอในคัมภีร์กวีโบราณ เพราะคัมภีร์กวีของหวังเฟิงหายสาบสูญไปกว่าพันปี และไม่มีตำราอะไรเหลือ อักษรแม้แต่ตัวเดียวก็ไม่มี ถ้าไม่ใช่เพราะนางอ่านตำราโบราณเข้าใจ นางจะรู้จักบทกวีสู่หลีได้อย่างไร”
“สวรรค์ทรงโปรด แม้แต่อักษรโบราณก็ยังรู้ นี่มันเก่งกาจเกินไปแล้ว มิน่าเล่านางจึงมีฝีมือสูงส่งขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้นาง”
“ได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่จวนอัครเสนาบดี คุณหนูสามแทบจะไม่เคยแตะต้องตำราเลย แม้แต่อาจารย์ก็ยังไม่มี”
“ไม่มีอาจารย์อะไรกัน นางเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาวังหลวงได้สองสามวันแล้วมิใช่หรือ ต้องเรียนมาจากสำนักศึกษาแน่ๆ”
“สำนักศึกษาวังหลวงคู่ควรที่จะเป็นสำนักศึกษาวังหลวงจริงๆ ข้าเองก็จะพยายามบ้าง จะต้องเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาวังหลวงให้ได้”
“น่าเสียดายที่คุณหนูสามถูกจับให้แต่งงานกับเทพแห่งสงครามไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าละอยากจะขอนางแต่งงานจริงๆ”