มีผู้เข้าแข่งขันห้าคน ฉังเจินกับฉังผิงเขียนๆ หยุดๆ และพยายามครุ่นคิด
หลังของเยี่ยเฟิงเหมือนต้นสนและลำไผ่ที่ตั้งตรง เขาก้มศีรษะลงและไม่แม้แต่จะกะพริบตา พู่กันในมือตวัดเขียนตัวอักษร ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เขียนบทกวีได้เกือบสิบบท
แม้ว่าเจ๋ออ๋องจะยังเขียนอยู่เรื่อยๆ แต่เขาก็กระสับกระส่าย มือของเขายังคงเกาไม่หยุด คิ้วสีดำขมวดมุ่น บทกวีบางบทที่เขียนเสร็จแล้วบ้างก็ถูกเขาขยำจนเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งไปอย่างรังเกียจ
เมื่อมองไปที่กู้ชูหน่วนอีกครั้งก็เห็นว่านางกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน มือของนางยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด สะบัดพู่กันไม่กี่ครั้งก็เขียนบทกวีจนจบไปหนึ่งบท แม้ว่านางจะเป็นคนสุดท้ายที่เริ่มเขียน แต่ถ้าไม่นับเยี่ยเฟิง นางก็ถือว่าเป็นคนที่เขียนบทกวีได้มากที่สุด
อาจารย์สวีสบถขึ้นมาอีกครั้ง “อวดดี จะอวดดีเกินไปแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วนางยังจะอวดเบ่งให้ใครดูอีก”
ทุกคนในสำนักศึกษาวังหลวงพากันส่ายหน้าและทอดถอนใจ
ต่อให้ชนะไปสองรอบแล้วยังไงล่ะ การแข่งอีกสามรอบที่เหลืออย่างไรก็แพ้อยู่ดี
ในความคิดของพวกเขา ครั้งนี้คนที่ได้ที่หนึ่งน่าจะเป็นเยี่ยเฟิง บัณฑิตผู้ต่ำต้อยผู้นั้น
กู้ชูหน่วนเขียนเร็วมาก พอเขียนจบบทหนึ่งก็เขียนต่ออีกบทหนึ่ง อีกสี่คนที่เหลือต่างเงยหน้ามองกู้ชูหน่วนด้วยความเคร่งเครียด
ไม่รู้ว่านางจะมาไม้ไหนอีก
แม้แต่จักรพรรดิเยี่ยยังตะลึงตาค้าง
กู้ชูหน่วนเขียนกวีโดยไม่ต้องหยุดคิดเลยงั้นรึ
นัยน์ตาของเสี่ยวหลี่จือกลอกไปมา เขาโค้งคำนับและเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ขนาดเซียนกวีในตอนนั้นยังแต่งกวีไม่ได้เร็วขนาดนี้ คุณหนูสามตระกูลกู้ต้องจงใจก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน บ่าวคิดว่าควรจะนำบทกวีของนางออกมาแสดงให้ทุกคนเห็นนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเยี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ
นานวัน เสี่ยวหลี่จือยิ่งรู้ใจพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ
จักรพรรดิเยี่ยกระแอมเบาๆ ก่อนจะตรัสเสียงดัง “คุณหนูสามแห่งตระกูลกู้เขียนกวีได้อย่างรวดเร็ว บทกวีที่เขียนจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่ เหตุใดจึงไม่อ่านบทกวีของคุณหนูสามแห่งตระกูลกู้ให้ทุกคนฟังกันก่อนเล่า”
เกือบทุกคนต่างรอดูเรื่องตลกของนาง
เมื่อขันทีเริ่มอ่าน ทั่วลานประลองก็เงียบกริบ
“เหล้าองุ่นชั้นดีในจอกราตรีสุกสกาว รีบเร่งเข้าเพื่อดื่มด่ำเสียงผีผา หากเมาพับหลับกลางศึก โปรดอย่านึกว่าขันขบ สงครามรบจบแล้วไซร้ กี่คนไกลได้หวนคืน” (ผีผาคือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง)
ฮือฮา…
ในสำนักศึกษาวังหลวงอันกว้างขวางมีเสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง แม้แต่อีกสี่คนที่กำลังยกพู่กันเขียนก็หยุดมือและหันไปมองกู้ชูหน่วน
ถุงฟางอย่างนางเขียนบทกวีที่ห้าวหาญยิ่งใหญ่อย่าง ‘หากเมาพับหลับกลางศึก โปรดอย่านึกว่าขันขบ สงครามรบจบแล้วไซร้ กี่คนไกลได้หวนคืน’ ได้ด้วยหรือ
พวกเขาต้องฟังผิดไปแน่ๆ
“มาเป็นแขกเดียวดายในต่างถิ่น เทศกาลหวนถวิลถึงน้องพี่ พ้องพี่น้องฉลองกันเหมือนทุกปี แต่คราวนี้ตัวข้าขาดหายไป”
กวีบทนี้พรรณนาความรู้สึกของคนที่ต้องพเนจรใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมืองได้อย่างชัดเจน ที่เมื่อถึงงานเทศกาลและช่วงเวลาที่ดีก็จะยิ่งคิดถึงญาติพี่น้องผู้เป็นที่รัก
ประโยคดีๆ อย่าง ‘เทศกาลหวนถวิลถึงน้องพี่’ นั่น
สวรรค์ทรงโปรด หูของพวกเขาหลอนไปแล้วงั้นหรือ
“หยกมรกตแต่งแต้มไม้สูงเพรียว ด้ายสีเขียวระย้านับหมื่นสาย ใครหนอใครตัดใบที่เล็กพราย ลมวสันต์คลับคล้ายเป็นกรรไกร”
อา…
ฉังเจินและฉังผิงตกใจจนพู่กันร่วงหลุดมือ
“เส้นด้ายในมือมารดา คือเสื้อผ้าของบุตรที่จรจาก ก่อนพลัดพรากถักทออย่างแน่นหนา ด้วยเกรงว่าอีกนานช้าจะคืนหวน หญ้าต้นน้อยมีจิตใจใครเล่าครวญ คอยเฝ้าหวนตอบแทนแสงตะวัน”
อาจารย์สวีตะลึงงันและชี้ไปทางกู้ชูหน่วนอย่างเซื่องซึม ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด เหมือนจะมีถ้อยคำเป็นร้อยเป็นพันติดอยู่ที่ลำคอ แต่เขาพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
เขาทึ่งมาก ทึ่งอย่างถึงที่สุด
“มีผืนหญ้าดาษดื่นทุกท้องที่ แต่ละปีมีเหือดแห้งสลับชื่น แม้นไฟฟืนผลาญเผาหญ้าไหม้จม ลมวสันต์เวียนมาหญ้าฟื้นคืน”
เซี่ยวอวี่เซวียนกลืนน้ำลายและหันไปถามหลิ่วเย่ว์ “แม่สาวอัปลักษณ์เป็นถุงฟางจริงรึ”
หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยส่ายหัวอย่างแรง
ถ้าแบบนี้เรียกว่าถุงฟาง แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าอัจฉริยะ?
“แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนหมอกหลากสี ทัศนาน้ำตกไกลที่เบื้องหน้า นทีไหลเป็นแนวยาวสุดสายตา ประดุจทางช้างเผือกจากคาลัย”
อัครเสนาบดีกู้ตะลึงตาค้าง เนิ่นนานกว่าสติจะกลับคืน เขามองไปที่บทกวีสลับกับมองกู้ชูหน่วนที่กำลังสัปหงก เขารู้สึกแปลกเอามากๆ ทั้งยังรู้สึกว่านางในตอนนี้ดูคล้ายมารดาที่ตายไปแล้วของนางเป็นอย่างมาก