“ได้ยินเสียงสายลมจากดอกเหมย หิมะกองทั่วภูเขาทั้งสี่ทิศ จะแบ่งร่างเป็นหนึ่งแสนล้าน เชยชมดอกเหมยแต่ละกิ่งก้านได้เช่นไร”
ในที่นั้นเงียบสงัดไร้เสียงและปากของแทบจะทุกคนได้อ้าเป็นรูปตัวโอ
กู้ชูหน่วนกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยที่นางก็ให้ทุกคนมองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างเปิดเผยและมุมปากอดไม่ได้ที่จะโก่งโค้งขึ้น
แต่งบทกวีนางแต่งไม่เป็นแต่ท่องบทกวีนั้นนางจะไม่เป็นหรือ?
อย่าว่าแต่สามบทเลยต่อให้อีกสามสิบบทนางก็เชื่อว่าแค่หยิบมือ
จักรพรรดิองค์น้อยต้องการแอบซ่อนทองคำสมบัติล้ำค่าหลายพันตำลึงก็ไร้ซึ่งหนทางเสียแล้ว
“กงกงน้อย ไม่รู้ว่าบทกวีทั้งสามนี้ของข้าเป็นเช่นไร? พอผ่านหูผ่านตาได้ไหม?”
แม้ว่าเสี่ยวหลี่จือจะต้องการทำให้นางลำบากใจก็ไร้ซึ่งคำโต้เสียแล้ว
ผู้คนที่ตอบสนองได้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ทีละคนๆโดยที่ทุกคนต่างยกย่องชื่นชมกันทั้งสิ้น
“สวรรค์ คุณหนูสามตระกูลกู้เป็นเซียนกวีกลับชาติมาเกิด ไม่ นางเก่งกาจกว่าเซียนกวีอีก คุณหนูสามตระกูลกล่าวออกมาเป็นบท บทกวีแต่ละบทไร้ซึ่งที่เทียบได้”
“สวรรค์ทรงโปรด ในโลกนี้เหตุใดถึงได้มีสตรีผู้มีความสามารถดีเลิศเช่นนี้ได้?”
เยี่ยเฟิงนึกถึงบทกวีที่นางท่องออกมาอย่างเงียบๆ
ดอกเหมยและเกล็ดหิมะแม้จะมีสีขาวต่างกันสามส่วน แต่กลิ่นหอมของเกล็ดหิมะเทียบกับดอกเหมยก็พ่ายแพ้ห่างกันหนึ่งก้านธูป
บทกวีที่ดีเช่นนี้ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถแต่งออกมาได้
เขาแพ้ด้วยใจที่ยอมรับจริง
เขาเสมอสองและแพ้สอง ถึงแม้ว่าจะชนะเกมที่ห้าก็เปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องประลองเกมที่ห้าเลย
ไม่รู้ว่าเนื่องด้วยสิ่งใดเยี่ยเฟิงมองกู้ชูหน่วนด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิมแล้ว
จักรพรรดิเยี่ยรู้สึกไม่สบายพระทัยยิ่งนักแต่ก็ทรงทำได้เพียงทรงพระสรวลและยอมรับอย่างเปิดเผยว่านางเป็นที่หนึ่ง
หม่ากงกงประกาศเสียงดังว่า “ผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่งของการชุมนุมวิชาการใหญ่ในครั้งนี้คือคุณหนูสามตระกูลกู้กู้ชูหน่วน”
ในการชุมนุม บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ และบางคนก็ตบศีรษะ
ท่าทางการแสดงออกเช่นไรก็มีทั้งนั้น
จักรพรรดิเยี่ยก็นับว่าทรงน่านับถือ พระราชทานทองคำสมบัติอันล้ำค้าจำนวนมากเป็นรางวัลให้แก่นางรวมทั้งกล่องไม้จันทน์สีดำด้วย
ลวดลายบนกล่องไม้จันทน์นั้นละเมียดละไมยิ่งนักโดยเป็นหงส์กางปีกโบยบินตัวหนึ่ง
หม่ากงกงถืออย่างระมัดระวังส่งให้ถึงมือนางและสั่งว่า “คุณหนูสามในกล่องนี้นั้นเป็นระฆังวิญญาณสะบั้นสมบัติล้ำค่าของรัฐเยี่ย ขอให้คุณหนูสามโปรดเก็บไว้ด้วยความระมัดระวังอย่าได้ทำให้สูญหายไปทีเดียว”
“รู้แล้ว”
กู้ชูหน่วนไม่ได้รู้สึกสนใจระฆังวิญญาณสะบั้นเลยแม้แต่น้อย
ทว่ารู้สึกถึงสายตาของทุกคนในที่นั้นที่จับจ้องไปยังกล่องไม้จันทน์
มีความอิจฉา
มีความริษยา
ยิ่งกว่านั้นคือต้องการที่จะเป็นเจ้าของ
กู้ชูหน่วนจดจำแววตาของพวกเขาทีละคนๆเอาไว้ในใจโดยไร้ซึ่งร่องรอย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถือกล่องระฆังวิญญาณสะบั้นราวกับว่าได้ถือมันเทศอันร้อนเอาไว้ และรู้สึกอยู่ตลอดว่าภายหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเนื่องจากระฆังวิญญาณสะบั้นนี้
กู้ชูหน่วนอยากจะบอกว่าสมบัติล้ำค่านางต้องการ ระฆังวิญญาณสะบั้นองค์จักรพรรดิน้อยนำมันกลับไปเองแต่ก็กลัวว่าหากกล่าวไปแล้วจักรพรรดิน้อยทรงกริ้วแล้วนำสมบัติอันล้ำค่ากลับไปด้วยไปจึงทำได้แค่เพียงฝืนใจทนหยิบขึ้นมา
ท่ามกลางความเงียบนางสังเกตเห็นว่าสายตาของเยี่ยเฟิงก็มองลงไปที่กล่องไม้จันทน์
แววตาของเขาเสมือนสระน้ำลึกทำให้คนมองไม่เห็นว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ที่รู้ก็คือเขานั้นสนใจระฆังวิญญาณสะบั้นด้วยเช่นกัน
“อันดับสองของการชุมนุมวิชาการ เยี่ยเฟิงนักปราชญ์เยี่ย ขอแสดงความยินดีกับนักปราชญ์เยี่ย” ขันทีหม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างโดดเดี่ยวและไม่แยแสดังเก่าก่อน
“ตามกฎระเบียบของรัฐเยี่ย นักปราชญ์เยี่ยสามารถเรียนที่สำนักศึกษาวังหลวงได้เป็นเวลาหนึ่งปี และหลังจากหนึ่งปีก็สามารถเข้าราชสำนักเป็นขุนนางและรับใช้ประชาราษฎร์ได้ ไม่รู้ว่านักปราชญ์เยี่ยสนใจที่จะเข้าสำนักศึกษาวังหลวงหรือไม่”