“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพรุ่งนี้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาข้าก็จะง่วงหงาวหาวนอนอีกแล้ว”
“มีวันใดที่เจ้าไม่ง่วงหงาวหาวนอน”
“พี่น้องข้าแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงแต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้” กู้ชูหน่วนโอบไหล่ของเขาแต่กลับถูกเยี่ยเฟิงแว๊บผ่านโดยดึงนางให้รักษาระยะห่างที่แน่นอน
นางก็ไม่ได้กระทำอีกเพียงแค่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ค่ำมืดแล้วยังมาที่นี่อีกเจ้ากลัวว่าตนเองจะไม่ได้ตายหรือ?”
“หลายครั้งหลายคราการมีชีวิตอยู่ยากเย็นมากกว่าการตายเสียอีก” เยี่ยเฟิงกล่าวออกมาเสียงเบาประโยคหนึ่ง ตัวอักษรบนป้ายหลุมศพทิ่มแทงดวงตาของเขา
“ใช่สิ การมีชีวิตอยู่ยากเย็นมากกว่าการตายเสมอดังเช่นที่เจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้ หัวหน้าสำนักศึกษาอยู่ในปรโลกก็คงจะไม่เป็นสุข”
“ก่อนที่ข้าจะไปหอสะสมตำราข้าพบกับหัวหน้าสำนักศึกษาอย่างเร่งรีบ เขาบอกว่ามีสิ่งของจะให้ข้าดูและก็มีเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งที่จะบอกข้า ตอนนั้นมีเหล่าทูตจากหลายรัฐมีเรื่องที่จะมาหาหัวหน้าสำนักศึกษา หัวหน้าสำนักศึกษาจึงได้นัดกับข้าว่าต้องไปที่หอสะสมตำราให้ได้ในยามค่ำคืน”
ในใจกู้ชูหน่วนเต้น “เขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าต้องการให้สิ่งของอะไรแก่เจ้าหรือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันใด?”
เยี่ยเฟิงส่ายศีรษะ “ไม่รู้ชัด เขาแค่บอกว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป”
“ดังนั้นการตายของหัวหน้าสำนักศึกษาอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาต้องการจะบอกเจ้า”
เยี่ยเฟิงกอดเข่าของตนและดวงตาเย็นยะเยือกนั้นก็จับจ้องอยู่ที่ป้ายหลุมศพอย่างไม่ลดละ เป็นเวลาเนิ่นนานก็มองออกที่ไม่ไกลนัก
เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานแต่ก็นึกไม่ออกว่าหัวหน้าสำนักศึกษาจะพูดสิ่งใดกับเขา
“ผู้ที่อยู่กับข้าไม่ได้จบลงด้วยดีกันทั้งสิ้น เจ้า……อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อยเถอะ”
“ข้าดวงแข็งทำให้ตายยาก” กู้ชูหน่วนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยจากนั้นหยิบกล่องไม้มะเกลือออกจากอกเขาแล้วโยนให้เยี่ยเฟิงเลย
เยี่ยเฟิงเปิดออก ระฆังสีดำอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าสนใจนัก
บางส่วนบนระฆังเป็นอักษรสัญลักษณ์ต่างๆที่ดูไม่เข้าใจและบางส่วนเป็นรูปแผนที่ภูมิประเทศ
เขาหายใจแรงขึ้น “ระฆังวิญญาณสะบั้น……เหตุใด……”
“เจ้าอยากได้ระฆังวิญญาณสะบั้นอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? มอบให้เจ้า……สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด”
ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน คนผู้หนึ่งปรากฏรอยยิ้มในแววตาอีกผู้หนึ่งปรากฏความวุ่นวายสับสนอยู่ในแววตา
เป็นเวลานานเยี่ยเฟิงจึงได้กล่าวประโยคหนึ่งออกมา “เจ้าเห็นว่าข้าน่าสงสารถึงได้มอบระฆังวิญญาณสะบั้นให้แก่ข้าใช่หรือไม่?”
“ในโลกนี้มีผู้คนที่น่าสงสารเยอะแยะมากมายหรือว่าข้าจะต้องมอบระฆังวิญญาณสะบั้นให้กับทุกๆคน? ข้าเพียงแค่เห็นว่าเจ้าเป็นสหาย ดังนั้นสิ่งที่สหายต้องการข้าก็จะมอบให้เขาอย่างสุดกำลังความสามารถ”
เนื้อตัวของเยี่ยเฟิงสั่นเทาเล็กน้อย
ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นกลับสะท้อนไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นของกู้ชูหน่วน
รอยยิ้มนั้นมิได้เสแสร้งแกล้งกระทำ มิได้คิดการณ์วางแผนไว้ มีก็เพียงแค่ความจริงใจเท่านั้น
เมื่อนึกถึงความสงสัยของทุกคนในสำนักศึกษาหลวงในวันนั้นก็เป็นกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนที่ก้าวออกมาแล้วบอกว่าเขาเป็นสหายของพวกเขาและพวกเขาก็เชื่อเขา
ดวงตาเยี่ยเฟิงแดงขึ้น
คืนระฆังวิญญาณสะบั้นให้นาง
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าระฆังวิญญาณสะบั้นใช้ทำสิ่งใดกันแน่แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับไข่มุกมังกร เจ้าก็ควรเก็บเอาไว้เถอะ”
“ไข่มุกมังกร?”
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้ยินคำว่าไข่มุกมังกร
เยี่ยเฟิงมองไปยังแผนที่บนระฆังวิญญาณสะบั้นเก็บอาการขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“หากข้าเดาไม่ผิดสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ ระฆังวิญญาณสะบั้นแต่เป็นไข่มุกทังกร แผนที่ที่วาดบนอยู่บนระฆังวิญญาณสะบั้นนี้น่าจะเป็นที่ตั้งของไข่มุกมังกร ตอนนี้แผนที่บนระฆังวิญญาณสะบั้นมีสองในสามส่วน จะต้องเติมให้เต็มจึงจะสามารถหาไข่มุกมังกรพบ”
“ไข่มุกมังกรใช้ทำสิ่งใด?”
“ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่ข้าเคยได้ยินหัวหน้ากองธงบุปผาพูดคุยกับผู้อื่นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่าไข่มุกมังกรไม่เพียงแค่ทำให้วรยุทธ์สูงขึ้นเท่านั้น ยังสามารถกลับโลกให้ตาลปัตร บ่อนทำลายใต้หล้าแม้กระทั่งทำให้ฟื้นคืนจากความตายและทำลายคำสาปทั้งหมดในโลกได้”
กู้ชูหน่วนยิ้มโดยไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
“เคยมีคนกล่าวว่าผู้ที่ได้ระฆังวิญญาณสะบั้นมาก็ได้ทั้งใต้หล้า และเคยกล่าวว่าได้ระฆังวิญญาณสะบั้นก็จะสามารถได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทุกคนอยากได้ ข้าได้มาแล้วข้าต้องการรักษารอยแผลเเป็นบนใบหน้าของข้าแต่แผลเป็นบนใบหน้าของข้าหายแล้วหรือ?”
เยี่ยเฟิงส่ายศีรษะ
เขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้และก็ไม่ต้องการรู้ด้วย
เขาเพียงแค่ต้องการให้ท่านยายสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างสงบสุขและไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน