ใบหน้าของปรมาจารย์หลินหม่นหมองลงอีกเล็กน้อย
แยกแยะแรงจูงใจของอี้เฉินเฟยอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ในใจ
เขาสงสัยว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
แต่หากว่าผู้นำกองธงให้เขานำตัวผู้คอยปรนนิบัติคนอื่นๆออกไปจริงๆ เมื่อไปเผชิญหน้ากับที่ผู้นำกองธงนั่นเขาก็จะต้องถูกลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปรมาจารย์หลินตกอยู่ในสภาวะลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลังจากสับสนอยู่เป็นเวลานานเขาก็ยังคงกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ยังประโยคเดิมนั้นอยู่ ไม่มีคำสั่งของผู้นำกองธงใครก็ไม่สามารถนำตัวผู้คอยปรนนิบัติเหล่านี้ออกไปได้ แต่ว่าข้าสามารถตามเจ้าไปยังยอดเขาหลักของผู้นำและพบกับผู้นำกองธงด้วยตนเอง หากว่าเป็นคำสั่งจากผู้นำกองธงจริงๆข้าก็จะยอมรับความผิดเอง”
กู้ชูหน่วนยกมือซ้ายขึ้นจากนั้นก็โรยผงยาหนึ่งกำมือไป
สีหน้าของปรมาจารย์หลินเปลี่ยนไปยิ่งนักโดยหลับตาลงในทันทีพร้อมกับกลั้นหายใจและเลี่ยงออกจากยาผง
และในขณะที่เขาหลับตาลงกู้ชูหน่วนก็ยกมือขวาขึ้น เข็มเงินหลายสิบเข็มแทงไปยังปรมาจารย์หลินและผู้ถือธงข้างกายเขา
การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วยิ่งนัก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับแสงประกายไฟขณะตีหิน ปรมาจารย์หลินไม่ทันคาดคิดก็ถูกกู้ชูหน่วนยิงสลบไปพร้อมกับผู้ถือธงคนอื่นๆ
กู้ชูหน่วนยิ้ม “ช่างง่ายดายมุทะลุเท่าใดยังจะพูดจาไร้สาระมากมายกับเขาทำไมกัน”
อี้เฉินเฟยหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่พูดจาไร้สาระแล้วจะลอบโจมตีได้ไหม?
“ไปเถอะ รีบทำเวลาออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
กู้ชูหน่วนพยักหน้าแล้วเหลือบมองผู้คอยปรนนิบัติจำนวนมากซึ่งอ้าปากค้างแล้วกลอกตา “ยังจะมัวทำอันใดอยู่ยังไม่รีบตามพวกเราจากไป”
“ท่าน……ท่านคือ……”
“คนที่มาช่วยพวกเจ้า พวกเจ้ามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้”
กู้ชูหน่วนก็ไม่พูดจาไร้สาระจากนั้นก็ไปยังป้อมปราการก่อน ส่วนอี้เฉินเฟยก็ตามไปอย่างใกล้ชิด ผู้คอยปรนนิบัติทั้งชายหญิงราวกับผู้ที่จมน้ำแล้วสุดท้ายก็จับฟางได้เส้นหนึ่งและก็ตามไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คอยปรนนิบัติครึกโครมทั้งหมดไปยังป้อมปราการ จำต้องดึงดูดความสนใจกู้ชูหน่วนให้คนอื่นๆรอคอยอยู่ใต้ป้อมปราการ
เห็นพวกเขาทั้งสองคนพาผู้คอยปรนนิบัติจำนวนมากรีบเร่งมา เหล่าผู้ถือธงบางส่วนที่คอยเฝ้าดูผู้คอยปรนนิบัตินั้นตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบางคนแอบหนีไปรายงานเรื่องราวและบางคนก็ถามอย่างประหม่าว่า “ปรมาจารย์เจียง ครั้งนี้ผู้นำกองธงก็ต้องการผู้คอยปรนนิบัติมากเกินไปหรือไม่”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะแล้วยกเข็มเงินในมือขึ้น ผู้คนที่ออกไปรายงานข่าวคราวก็ถูกแทงล้มลงทีละคน
อี้เฉินเฟยเกือบจะลงมือในเวลาเดียวกันกับกู้ชูหน่วนโดยสกัดจุดนอนหลับของผู้ถือธงเหล่านั้น
ผู้คอยปรนนิบัติทั้งหลายตกใจจนกอดกันเป็นกลุ่มโดยที่เนื้อตัวสั่นเทา
กู้ชูหน่วนจำเยี่ยเฟิงในท่ามกลางฝูงชนได้ตั้งแต่แรกเห็น ด้านหนึ่งนางช่วยประคองเยี่ยเฟิงไปอีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “ผู้ที่ต้องการออกจากเผ่าปีศาจมากับข้าให้หมดแต่ว่าจะต้องช่วยข้านำตัวเขาไป”
อี้เฉินเฟยขวางนางเอาไว้ “ข้าจะส่งท่านและเยี่ยเฟิงออกไปก่อนแล้วค่อยมาพาพวกเขาจากไป”
“ไม่ได้ เช่นนี้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น โอกาสที่พวกเขาจะจากไปได้มีน้อยเกินไป และ……จะมาก็มาด้วยกัน จะไปก็ไปด้วยกัน”
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างอบอุ่นจากนั้นสั่งให้ผู้คอยปรนนิบัติสองสามคนถอดเสื้อผ้าของผู้ถือธงออก แล้วแต่งกายเป็นพวกเขาพร้อมกับรีบเร่งพาผู้คอยปรนนิบัติไปยังป้อมปราการ
บนป้อมปราการปิดอยู่ทุกชั้นจึงไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวเลย พวกเขาทำได้เพียงจำต้องนำผู้คอยปรนนิบัติหนึ่งร้อยกว่าคนไปด้านหน้า
ทันทีที่พวกเขาขึ้นมาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนบนป้อมปราการ
“หยุดนะ” เหล้าองุ่นชั้นดีในจอกราตรีสุกสกาว “ยอดฝีมือชั้นที่หนึ่งผู้หนึ่งขวางพวกเขาเอาไว้
อี้เฉินเฟยตอบโดยตรงว่า ” ดวงจันทร์ส่องสว่างไสวในราชวงศ์ฮั่นและฉินเป็นสงครามที่ไม่ได้หยุดลง”
“ปรมาจารย์เจียงไม่รู้ว่าท่านนำตัวผู้คอยปรนนิบัติมากมายเช่นนี้มาทำสิ่งใด?”
“ผู้นำกองธงมีคำสั่งให้ข้านำตัวพวกเขาไปยังยอดเขาลูกที่ห้า”
“ยอดเขาลูกที่ห้า?”
“ใช่ ผู้นำกองธงเล่นจนเบื่อแล้วจึงตั้งใจที่จะยกพวกเขาให้เป็นรางวัลแก่ผู้นำกองธงอื่น พวกเจ้ารีบเตรียมกรงเลื่อนโดยเร็วเพื่อมิให้ล่าช้าต่องานใหญ่ของผู้นำกองธง”
“แต่ว่านี่คนเยอะเกินไปแล้ว……”
“ทำไม เจ้ากล้าสงสัยต่อคำสั่งของผู้นำกองธงหรือ?”
“ข้าน้อยไม่กล้า”
“เช่นงั้นยังไม่รีบเตรียมกรงเลื่อน อย่าลืมว่า ภารกิจของเจ้าคือคอยเฝ้าดูป้อมปราการมิใช่ตั้งคำถามกับคำสั่งของผู้นำกองธง”
“ขอรับ……”