เยี่ยจิ่งหานเอ่ยประโยคถัดไปทิ้งท้ายโดยไม่สนว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้จะยินยอมหรือไม่
“ข้าต้องการพาว่าที่พระชายาของข้ากลับไป ผู้นำกองธงกล้วยไม้คงไม่คิดจะขัดขวางใช่หรือไม่”
กู้ชูหน่วนเดินไปยืนข้างกายเยี่ยจิ่งหาน นางกะพริบดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตา กล่าวเสริมว่า “ท่านอ๋องของข้าหมายความว่าจะพาข้ากับเยี่ยเฟิงพร้อมกับอัครมเหสีฉู่กลับไปด้วย ผู้นำกองธงกล้วยไม้คงไม่คิดจะขัดขวางใช่หรือไม่”
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยพูดไม่ออก
ผู้นำกองธงกล้วยไม้ไม่ใช่ผู้ที่ชอบสร้างปัญหา ถ้าไม่ใช่เพราะมีความอาฆาตแค้น เขาจะฆ่าอัครมเหสีฉู่ไปทำไม
ต้องรู้ว่าอัครมเหสีฉู่เป็นพระมเหสีที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุด เพื่อนาง จักรพรรดิฉู่ยอมทำได้ทุกอย่าง
ส่วนเยี่ยเฟิง
เดิมทีเขาเป็นผู้ปรนนิบัติของผู้นำกองธงกล้วยไม้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหากเขาจะตามกลับไปที่เผ่าปีศาจ หากนายท่านคิดจะพาเยี่ยเฟิงกลับไปด้วย เขาจะต้องฉีกหน้าผู้นำกองธงกล้วยไม้และเผ่าปีศาจอย่างช่วยไม่ได้
แม้พวกเขาจะไม่กลัวเผ่าปีศาจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะก่อปัญหา
แต่ว่าที่พระชายาของพวกเขากลับกล้าไปแหย่รังแตน
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยคิดว่าผู้เป็นนายของพวกเขาจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ทว่ามุมปากของผู้เป็นนายกลับกระตุกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มจางๆ
นะ… นี่มันอะไรกัน
“ผู้นำกองธงกล้วยไม้ เจ้ามีผู้ปรนนิบัติอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เขาเป็นเพียงผู้ปรนนิบัติที่ต่ำต้อย เหตุใดผู้นำกองธงกล้วยไม้จึงไม่ตัดอกตัดใจ มอบเขาให้กับอาหน่วนของข้าเสียล่ะ” เยี่ยจิ่งหานเรียนรู้จากน้ำเสียงของนาง ทั้งยังใช้คำว่า ‘ของข้า’ อย่างเต็มปาก
ราชาผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังผู้นำกองธงกล้วยไม้กล่าวอย่างมีโทสะว่า “เยี่ยจิ่งหาน เจ้าอย่าได้ทำอะไรสุดโต่งนักเลย”
“ท่านผู้นำกองธง เยี่ยจิ่งหานกำแหงยิ่งนัก ให้ข้าน้อยสังหารเขาเลยหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยจิ่งหานหัวเราะเยาะ “ต่อให้จอมมารของพวกเจ้าอยู่ที่นี่เขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยคำว่ากำแหงออกมา แล้วเจ้าล่ะเป็นตัวอะไร”
“ข้าไม่ได้เป็นตัวอะไร”
กู้ชูหน่วนกระทุ้งแขนของเยี่ยจิ่งหานและยิ้มอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ได้ยินไหม มีบางคนบอกว่าเขาไม่ใช่ตัวอะไรด้วยละ แหมๆๆ แต่ก็ยังรู้จักประเมินตัวเองนะ ดีที่ยังรู้ว่าตัวเองเป็นสิ่งของ”
“นังบ้า ข้าเป็นสิ่งมีชีวิต”
“โอ๊ะ… ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่คน แต่เป็นเพียงตัวอะไรสักอย่างนี่เอง”
ตูม!
ราชาผู้พิทักษ์ซึ่งถูกกู้ชูหน่วนทำให้อับอายขายหน้าโกรธจนทนไม่ไหว เขาสะบัดง้าวกรีดนภาหวังจะสังหารกู้ชูหน่วน
ฝูกวงหัวเราะเยาะ สองขาของเขากระโดดอย่างรวดเร็วและพลิกตัวประหนึ่งนกพิราบ สะบัดดาบยาวทั้งสองเล่มออกไป
ปึงๆๆ
ดาบยาวและง้าวกรีดนภาปะทะกันจนเกิดเสียงคมชัดของอาวุธที่ปะทะกัน
ฝูกวงมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศทั้งยังมีความรวดเร็ว ดาบทั้งสองเล่มเข้าคู่กันประหนึ่งหมู่เมฆและสายน้ำที่ไหลไปตามกระแส ทุกฝีดาบที่ฟาดฟันลงไปทั้งรุนแรงและรวดเร็ว
มหาราชาผู้พิทักษ์รูปร่างกำยำล่ำสันและทรงพลัง ทุกครั้งที่สะบัดง้าวออกไปแรงโจมตีจะเต็มไปด้วยแรงโน้มถ่วงที่หนักหน่วงไร้ขอบเขต แต่น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของเขาคือฝูกวงซึ่งถนัดวิชาตัวเบา
ไม่ว่าเขาจะลงแรงไปมากเท่าไหร่ก็ถูกฝูกวงทำลายได้ด้วยการลงแรงเพียงน้อยนิด ราวกับแรงโน้มถ่วงฟาดลงไปบนกองฝ้าย ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรการโจมตีก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ปึ่ง!
มหาราชาผู้พิทักษ์ถูกฝูกวงถูกโจมตีจนบาดเจ็บหนัก ร่างกายที่ใหญ่โตดั่งราชสีห์ยักษ์ตกลงไปกระแทกพื้น เลือดแดงฉานไหลเจิ่งนองและลุกไม่ขึ้นอยู่เป็นนาน
มหาราชาผู้พิทักษ์อีกสามคนก้าวออกมาและพยายามจะจัดการฝูกวง
ผู้นำกองธงกล้วยไม้หยุดพวกเขาไว้และจ้องตรงไปยังเยี่ยจิ่งหานด้วยแววตาที่เย็นชาและคมกริบ
“เจ้าพาผู้หญิงคนนี้ไปได้ แต่เยี่ยเฟิงต้องอยู่ที่นี่”
“ถ้าข้าอยากจะพาเยี่ยเฟิงกลับไปด้วยล่ะ”
“เทพแห่งสงคราม เพื่อผู้ปรนนิบัติเพียงคนเดียว เจ้าถึงกับยอมตั้งตนเป็นศัตรูของจอมมารเลยหรือ”
“จอมมารใหญ่โตนักรึไง ท่านอ๋อง จัดการเขาเลย” กู้ชูหน่วนพูดง่ายๆ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกำแหงอวดดี
เยี่ยจิ่งหานขมวดคิ้ว
แม่ผู้หญิงคนนี้
ฟังจากน้ำเสียง ทำไมจึงรู้สึกเหมือนนางปรารถนาจะให้เขาประดาบกับพวกเผ่าปีศาจสักสามร้อยรอบอย่างไรอย่างนั้น