Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1671 อูเหิงเทียน

ตอนที่ 1671 อูเหิงเทียน
ห่างจากช่วงที่สมรภูมิเก้าดินแดนปิดม่าน ผ่านไปเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว
ในช่วงครึ่งปีนี้ดินแดนรกร้างโบราณเกิดเรื่องฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งไม่รู้มีคนเท่าไหร่ที่สั่นผวาเพราะผลงานการศึกในสมรภูมิเก้าดินแดนของหลินสวิน
อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน!
ฉายานี้สะดุดตาราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่บนเวิ้งฟ้า ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญในดินแดนรกร้างโบราณ ยามนี้ใครจะไม่รู้จักชื่อของหลินสวินบ้าง
คลื่นลมใต้หล้ากำเนิดในรุ่นข้า ในเหล่าข้าเขาคือสุดยอด!
‘เขา’ คนนี้ก็คือหลินสวิน
ไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณที่ผูกแค้นหลินสวินเหล่านั้นก็ดี หรือจะเป็นขุมอำนาจใหญ่ที่กริ่งเกรงต่อหลินสวินพวกนั้นก็ตาม
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ชัดว่าดินแดนรกร้างโบราณในยามนี้ หลินสวินบารมีแกร่งกล้า เรืองรองคมประกาย ไม่มีใครสามารถกดข่มได้!
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าขุมอำนาจที่เคียดแค้นหลินสวินเหล่านั้นจะหวาดผวาและก้มหัวเพราะเหตุนี้
ถึงอย่างไรก็เป็นขุมอำนาจเก่าแก่ที่สืบทอดมาช้านาน ภายในจะขาดรากฐานแห่งมกุฎอริยะที่ไร้เกรงกลัวได้อย่างไร
แต่ว่าขอเพียงไม่โง่ ก็ไม่มีขุมอำนาจใหญ่แห่งไหนกล้าลงมือกับหลินสวินอีก
หลินสวินคนเดียวอาจไม่ควรค่าให้ผู้คนกริ่งเกรงนัก แต่เบื้องหลังเขามีเงาของขุมอำนาจน่าสะพรึงมากมายหนุนอยู่นานแล้ว!
อย่างเช่นตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ลัทธิเทพต้นกำเนิด หรืออย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตระกูลเยี่ยเขาจื่อเวยเป็นต้น
ล้วนเพราะหลินสวินเคยปกป้องทั่วทั้งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ผูกไมตรีกับมกุฎอริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์ไว้มากมายในสมรภูมิเก้าดินแดน
และเบื้องหลังมกุฎอริยะรุ่นเยาว์เหล่านี้ แทบจะมีขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งหนุนหลังอยู่!
หากหลินสวินประสบเคราะห์ คนรุ่นเดียวกันที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาในสมรภูมิเก้าดินแดน มีหรือจะอยู่เฉยไม่ทำอะไร
นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณหวาดกลัว!
ถึงขนาดที่ว่าเพราะจุดนี้ ขุมอำนาจใหญ่ไม่น้อยที่เคยตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อหลินสวิน ยังต้องกังวลว่าหลินสวินจะมุ่งหน้าบุกมาแก้แค้นหรือไม่
นี่ก็คือพลังแห่งอิทธิพล!
เป็นอานุภาพที่ล้นทะลักออกมาจากการที่หลินสวินกรำศึกคนเดียวนานปี!
……
เพียงแต่ที่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณคือ ในช่วงครึ่งปีหลังสมรภูมิเก้าดินแดนปิดม่าน บุคคลโดดเด่นสะดุดตา ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างหลินสวินนี่ กลับเงียบหายไปเหมือนระเหยกลางอากาศ ไม่มีข่าวคราวแพร่งพรายออกมาอีกเลย
มีคนบอกว่าเขากำลังปิดด่านแจ้งมรรค
และมีคนบอกว่า เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจออกไปจากดินแดนรกร้างโบราณ หวนสู่ ‘โลกชั้นล่าง’ ไปแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ถึงขั้นยังมีคนบอกว่าหลินสวินรู้ตัวว่าประกายคมแข็งกล้าแข็งเกินไป พานจะถูกริษยาได้ง่ายๆ ฉะนั้นจึงเลือกปิดบังชื่อแซ่ เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน…
แน่นอนว่านี่ย่อมเหลวไหลอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็มีข่าวบอกว่าหลินสวินเคยหยิบยืมพลังของหอฤทธิ์เทพ มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทำเอาที่นั่นอึกทึกครึกโครมฟ้าพลิกดินคว่ำ
น่าเสียดาย ข่าวที่ใกล้เคียงความจริงเช่นนี้ หลังจากแพร่กระจายในดินแดนรกร้างโบราณ กลับถูกผู้คนมากมายคิดว่าเหลวไหลไม่ได้เรื่องเสียได้
เหตุผลง่ายดายยิ่ง ใครบ้างไม่รู้ว่ากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิคือโลกของสัตว์ประหลาดเฒ่ากึ่งจักรพรรดิ
อย่าว่าแต่มกุฎอริยะแท้คนหนึ่ง ต่อให้ราชันอริยะไปเองก็ต้องตกเป็นรอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘อึกทึกครึกโครมฟ้าพลิกดินคว่ำ’ เลย
บางครั้งความจริงและข่าวลือล้วนสับสนแยกจากกันไม่ออกเช่นนี้
สรุปแล้วเวลาครึ่งปีผ่านไป คำวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับหลินสวินก็ค่อยๆ สงบลง
ในช่วงนี้ขุมอำนาจใหญ่ที่แต่เดิมยังอกสั่นขวัญแขวน กังวลอยู่บ้างว่าหลินสวินจะบุกมาแก้แค้นถึงที่ก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ไปบ้าง
ภายใต้เหตุการณ์เช่นนี้ ขบวนของพวกหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยแล้ว!
……
หุบเขาตะวันคล้อย
อาณาเขตของเผ่าอีกาทอง และถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘แดนเร้นอริยะ’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนรกร้างโบราณ
เหนือตำหนักมโหฬารที่สร้างขึ้นจากอิฐสีทองแห่งหนึ่ง อีกาทองขนาดเล็กตัวแล้วตัวเล่าสยายปีกโผบิน ปีกสาดพรมเปลวเพลิงสายแล้วสายเล่า วิเศษอัศจรรย์เหนือธรรมดา
ภายในโถงตำหนัก อูเหิงเทียนนั่งบนตำแหน่งประธานตรงกลาง นั่งนิ่งอยู่คนเดียว หว่างคิ้วเจือแววเศร้าโศก
เขาสวมชุดคลุมสีทอง ผมเคราสีขาวขุ่น ใบหน้าเหี่ยวแห้ง เป็นหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันของเผ่าอีกาทอง เป็นบุคคลน่าสะพรึงที่ทรงอิทธิพลมาเนิ่นนานหลายพันปี
เพียงแต่ในช่วงหลายปีนี้น้อยครั้งนักที่อูเหิงเทียนจะสนใจเรื่องภายในเผ่า
“เจ้าเจ็ด เจ้าสิบสาม… แค้นของพวกเจ้า ต่อไปพ่อจะต้องแก้แค้นแทนพวกเจ้าแน่…”
อูเหิงเทียนพึมพำ สีหน้าเจือแววหม่นเศร้า
ด้านข้าง ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งเห็นเช่นนี้ก็ลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
ในแดนมกุฎเมื่อหลายปีก่อน องค์ชายเจ็ดอูหลิงเต้า องค์ชายสิบสามอูหลิงเฟยของเผ่าอีกาทองล้วนถูกหลินสวินฆ่าตาย ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองถูกฆ่าไปอีกไม่รู้เท่าไหร่
เผชิญการโจมตีอย่างหนักจากความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียลูกชาย ทุกครั้งที่หัวหน้าเผ่านึกถึงเรื่องนี้ล้วนรู้สึกเจ็บปวดปางตาย
ข้ารับใช้อาวุโสรู้ดียิ่งว่าหัวหน้าเผ่าอยากฆ่าหลินสวินนั่นมากเพียงใด แต่ก็คว้าโอกาสไม่ได้เรื่อยมา!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ เมื่อเจ้าหลินสวินนี่ผงาดง้ำเป็น ‘อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ ชื่อสะท้านดินแดนรกร้างโบราณ นี่สำหรับเผ่าอีกาทองแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าการถูกโจมตีอย่างหนักเลย
ในเวลาเช่นนี้แม้จะเคียดแค้นหลินสวินปานใด เผ่าอีกาทองก็ไม่กล้าลงมือผลีผลาม!
และก็เพราะเป็นเช่นนี้ ช่วงครึ่งปีมานี้สภาพจิตใจของอูเหิงเทียนจึงไม่เคยดีขึ้นเลย เวลาปกติมักจะนั่งเหม่อคนเดียว จมสู่ภวังค์ความเคียดแค้นระคนเศร้าโศกเพียงลำพัง
ทายาทถูกฆ่า กลับไม่อาจแก้แค้น นี่เป็นการทรมานที่ทารุณอย่างที่สุดชัดๆ!
“ยามที่แดนมกุฎปิดม่าน ราชครูอาวุโสอูหลิ่วฉือออกโจมตี กลับถูกเจ้านั่นฆ่าตายด้วยศรเดียว…”
“นอกเมืองหม่อนหิมะ เหล่าอริยะรวมตัวกันปิดล้อมเจ้าหมอนี่ ราชครูสวรรค์อูซิวทงก็เข้าร่วมด้วย ผลลัพธ์คือเหล่าอริยะล้วนถูกเจ้าหนุ่มนั่นฆ่าทิ้งหมดเพียงลำพัง เสียงอาลัยจากฟากฟ้านานสิบวัน เมืองหม่อนหิมะที่กว้างใหญ่ล้วนถูกเลือดย้อมแดงฉาน…”
“ยามนี้เจ้าหมอนี่บรรลุมกุฎอริยะแท้แล้ว ชื่อเสียงผงาดในดินแดนรกร้างโบราณ อำนาจบารมีดุจตะวันกลางฟ้า ขุมอำนาจไหนยังจะกล้าจัดการเขา”
อูเหิงเทียนนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น สีหน้าอึมครึมไม่มั่นคง “และข้าในฐานะพ่อ อยากแก้แค้นให้เจ้าเจ็ดกับเจ้าสิบสาม ยังต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน”
ข้ารับใช้อาวุโสกล่าวปลอบ “หัวหน้าเผ่าโปรดระงับความเศร้า”
อูเหิงเทียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยัดตัวขึ้นยืน นัยน์ตาดุดัน อานุภาพน่าสยอง สีหน้าไร้ซึ่งความหมองเศร้าอีกต่อไป
เขาในยามนี้เปี่ยมล้นด้วยความน่าเกรงขามของหัวหน้าเผ่าคนหนึ่ง
จู่ๆ ข้ารับใช้อาวุโสก็กล่าวขึ้น “หัวหน้าเผ่า ช่วงก่อนหน้ามีข่าวแพร่ออกมา บอกว่าเจ้าหลินสวินนี่เคยปรากฏตัวที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ซ้ำยังฆ่ากู่เหลียงฉวี่อันดันหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิด้วยขอรับ”
อูเหิงเทียนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าหมอนี่หากมีน้ำยาปานนี้จริงๆ ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณจะไม่เทิดทูนเขาเป็นเทพเลยหรือ ข่าวลือเหลวไหลพรรค์นี้ก็ไม่รู้พวกตาถั่วคนไหนปล่อยออกมา น่าขันสิ้นดี!”
กล่าวพลางเขาสาวเท้าก้าวออกจากตำหนัก
ต้นไม้เทพตระหง่านค้ำฟ้าต้นหนึ่งยืนต้นสูงลิ่ว กิ่งก้านแข็งแรง ทั่วลำต้นแผ่ประกายเทพเปลวเพลิงสีทองอร่าม ประหนึ่งลุกโชนโชติช่วง ส่องสะท้อนหุบเขาตะวันคล้อยอันกว้างใหญ่ไพศาล
ต้นเทพฝูซาง!
ต้นไม้เทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ฟูมฟักแหล่งเพลิงสมาธิ ต้นของมันเทียมฟ้า ใบของมันดุจลุกโชน
ตามคำเล่าลือ แดนแห่งตะวันคล้อยก็อยู่บนต้นฝูซางต้นนี้นั่นเอง
ต้นเทพฝูซางเป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าอีกาทอง นัยเร้นลับแกนหลักของ ‘คัมภีร์ยอดสุริยัน’ ที่ทายาทเผ่าอีกาทองฝึกฝน ก็มาจากลวดลายที่มีอยู่บนต้นเทพฝูซาง
ขณะเดียวกันใบไม้และรากแขนงของต้นเทพฝูซางล้วนเป็นวัตถุดิบเทพที่หายากไร้ใดเปรียบในโลก มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมต่อการฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทอง
และในต้นเทพฝูซางยังสามารถเก็บเกี่ยวเพลิงสมาธิออกมาได้ นี่เป็นถึงเพลิงเทพเผด็จการชั้นหนึ่งในใต้หล้า!
ในกาลเวลานิรันดร์ ต้นเทพฝูซางกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของเผ่าอีกาทองโดยปริยาย
น้อยคนนักจะรู้ว่าภายใต้ต้นไม้ต้นนี้มีคุกที่ถูกพลังผนึกอริยมรรคนับไม่ถ้วนปิดผนึกไว้
และน้อยคนนักจะรู้ว่า ในคุกนั่นจองจำพวกดุร้ายบ้าคลั่งอย่างที่สุดคนหนึ่งเอาไว้
ไม่ว่าเมธีนับไม่ถ้วนของเผ่าอีกาทองจะใช้วิธีโจมตี ทรมาน เคี่ยวกรำแบบใด… จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาตายได้!
ภายในคุกมืดมิดหาใดเปรียบ เงียบสงัดว้าเหว่
อูเหิงเทียนมาแล้ว สีหน้าเยียบเย็น ยืนตระหง่านอยู่บริเวณด้านนอกต้นเทพฝูซาง ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังส่วนลึกของต้นไม้เทพ
“เจ้ามารบาป เจ้ายังรอให้เจ้าสวะตัวน้อยนั่นมาช่วยเจ้าอยู่อีกหรือ น่าเสียดาย เขาไม่กล้าโผล่มาสักนิด ทำเอาข้ารออยู่ที่นี่อย่างทุกข์ทนมาครึ่งปีก็ยังไม่เห็นเจ้าสวะนี่เลย”
เขาเอ่ยปาก เสียงดังเข้าไปในคุกมืดมิดที่ถูกผนึกไว้แห่งนั้น
ฮู้ม!
ทันใดนั้นในคุกเงียบสงัดก็ปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยมคับฟ้าที่ประหนึ่งจับต้องได้จริงออกมาสายหนึ่ง คล้ายเทพมารที่เก็บตัวเงียบชั่วกาลนิรันดร์เพิ่งตื่นขึ้นในเวลานี้
ต้นเทพฝูซางที่ประหนึ่งค้ำฟ้า เวลานี้ยังสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง แสงทองไหลเวียน เพลิงเทพคุโชน
ท่ามกลางความเลือนราง ในคุกมืดมิดนั่นมีเงาร่างสายหนึ่งลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเปี่ยมด้วยความเกรี้ยวกราดและเคียดแค้นไร้สิ้นสุด
แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นมา “ขอเพียงเจ้าหนุ่มนั่นไม่ตาย เขาต้องมาแน่!”
สีหน้าอูเหิงเทียนเยียบเย็น ในใจกระตุกวูบ
ฟุ่บฟึ่บ!
แส้สีทองที่วิวัฒน์จากพลังผนึกกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่าหวดฟาดลงไปอย่างจัง ตีจนเงาร่างสายนี้เนื้อปริหนังปลิ้น
แต่เขายังคงหัวเราะลั่น เปี่ยมด้วยแววเหยียดหยันและสาแก่ใจ “เฒ่าสามานย์ รอตอนที่ข้าหลุดพ้น แค้นและเลือดที่สั่งสมมาตั้งแต่หมื่นกาลก่อนนี้ ข้าจะสนองคืนให้ครบถ้วน! ถึงตอนนั้นหุบเขาตะวันคล้อยแห่งนี้จะต้องลบชื่อออกจากดินแดนรกร้างโบราณ!”
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
แส้ที่วิวัฒน์มาจากพลังผนึกนั่น ฟาดแต่ละทีล้วนสามารถทำให้อริยะเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ตายมิตายแหล่ ทนทุกข์ทรมาน
แต่เงาร่างสายนั้นยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้าตีข้ากี่ครั้ง ข้าจำไว้ในใจทั้งหมด เมื่อกวาดล้างพวกกระจอกอย่างพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะไปทางเดินโบราณฟ้าดารา ตามหาเฒ่าสามานย์อย่างอีกามารมาคิดบัญชีต่อ!”
อีกามารก็คือมหาจักรพรรดิอีกามาร เป็นบรรพบุรุษที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่าอีกาทอง ถูกมองเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าอีกาทอง
แต่ขณะเดียวกัน มหาจักรพรรดิอีกามารก็เป็นศัตรูที่เงาร่างสายนั้นแม้นตายก็ไม่ลืม!
สีหน้าอูเหิงเทียนเยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เจือแววเขียวคล้ำอยู่รำไร
เขามาครั้งนี้เดิมทีก็เพื่อระบายอารมณ์ภายในใจ แต่คำพูดของเงาร่างสายนั้นกลับทำให้ในใจเขายิ่งเดือดดาลมากขึ้น
เพียงแต่ตอนที่เขาอูเหิงเทียนตั้งท่าจะหวดแส้ใส่เงาร่างนั้นต่อ ทันใดนั้นข้ารับใช้เฒ่าคนหนึ่งก็ตะลีตะลานเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเข้ามา
“หัวหน้าเผ่า เจ้าหลินสวินนั่นโผล่มาแล้วขอรับ!”
ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตาอูเหิงเทียนส่องประกายเย็นเยียบออกมาทันที ลมหายใจยังเริ่มถี่กระชั้น “อยู่ที่ไหน”
เจ้าสวะที่ทำร้ายเจ้าเจ็ด เจ้าสิบสามจนตายคนนี้ ผ่านไปครั้งปีในที่สุดก็โผล่มาแล้ว! นี่ทำให้ความเคียดแค้นที่กดเก็บอยู่ในใจเขาเกือบควบคุมไว้ไม่อยู่
“อยู่นอกหุบเขาตะวันคล้อยของพวกเรานี่เองขอรับ”
ข้ารับใช้เฒ่าตอบกลับฉับไว
“หืม?”
อูเหิงเทียนอึ้งงัน หน้าเปลี่ยนสีทันควัน ตระหนักได้ว่าไม่เข้าที “เจ้าสวะนี่ คงไม่ใช่ว่ามา…”
“ฮ่าๆๆ มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้อยู่ไม่ไกล กลับคิดไม่ถึงว่าในวันนี้จะมาแล้วจริงๆ!”
ในคุกมืดมิด เสียงหัวเราะปานเสียสติของเงาร่างสายนั้นดังก้องขึ้น
ยโสโอหังดังเช่นอดีตนิรันดร์ก่อนหน้านี้!
………
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท