กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ – บทที่ 490

บทที่ 490

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 490
“หรือว่าเยี่ยจิ่งหานจะมองดูบ้านเมืองล่มสลายหรือ เขาก็เป็นเสด็จอาของแผ่นดิน” “ใช่สิ เนื่องจากเขาเป็นเสด็จอาของแผ่นดินดังนั้นหลังจากรัฐเยี่ยล่มสลายลงแล้วเขานำกองทัพใหญ่ขับไล่ให้รัฐหวาให้ล่าถอยไป ถึงเวลานั้นเขาต้องการขึ้นครองราชบัลลังก์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลผู้ใดจะกล้าฝืนใจต่อเขา กลับเป็นเจ้าที่กลายเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งผู้นี้”

จักรพรรดิเยี่ยมีคำพูดมากมายที่ทรงต้องการปิดปากนางแต่ว่าทรงหาเหตุผลที่จะปิดปากนางไม่ได้

กู้ชูหน่วนน้ำเสียงโล่งใจ “ดังนั้นพระองค์ทรงเลือกที่จะเชื่อหม่อมฉันยังดีซะกว่า หม่อมฉันรับประกันว่าเยี่ยจิ่งหานจะสามารถขับไล่รัฐหวาและปกป้องรัฐเยี่ยของเราให้ปลอดภัยเพคะ”

“เยี่ยจิ่งหานจะฟังเจ้าหรือ?”

“แน่นอนเพคะ คิดว่าฝ่าบาทก็คงจะทรงเคยได้ยินว่าท่านอ๋องตามใจหม่อมฉันเช่นไรบ้าง”

“แต่เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้าหล่ะ?” พระองค์มักจะทรงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่หลังจากครุ่นคิดไปมาแล้วก็ทรงคิดไม่ออกว่าที่ใดผิดปกติกันแน่

“ในครรภ์ของหม่อมฉันได้ตั้งท้องบุตรของเทพแห่งสงครามไม่ใช่หรือเพคะ เมื่อไม่กี่วันก่อนหม่อมฉันฝันและฝันถึงวิญญาณของพระโพธิสัตว์กวนอิมมาเข้าฝัน พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่าเทพแห่งสงครามได้สังหารผู้คนจำนวนมากมายและมี่พลังพิฆาตแรงเกินไป เด็กได้รับผลกระทบจากเขาและยากที่จะคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเว้นแต่จะหาดวงตารูปหัวใจสวมติดกายไว้จึงจะสามารถปกปักรักษาเด็กให้ปลอดภัย หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทคือโอรสมังกรแท้จริง หากว่าพระองค์ทรงช่วยค้นหาด้วยพระองค์เองเช่นนั้นหม่อมฉันก็จะสามารถค้นหาดวงตารูปหัวใจนั้นที่วิญญาณพระโพธิสัตว์กวนอิมม่เข้าฝันอย่างแน่นอนเพคะ

“แล้วพระโพธิสัตว์กวนอิมได้กล่าวหรือไม่ว่าลูกในท้องของเจ้าเป็นชายหรือหญิง”

“กล่าวเพคะ เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกับหม่อมฉัน”

จักรพรรดิเยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เป็นเด็กผู้หญิงก็ดีแล้ว หากว่าเป็นเด็กผู้ชายไม่แน่ว่าเทพแห่งสงครามอาจแย่งชิงราชบัลลังก์ให้ลูกชายของเขา

“ก็ได้ ให้ข้าช่วยตามหาดวงตารูปหัวใจก็ได้แต่เจ้าต้องช่วยถอนทัพให้กับข้าก่อน”

“กระทำทั้งสองสิ่งพร้อมกันสิเพคะเพื่อเป็นการประหยัดเวลา หม่อมฉันจะวาดดวงตารูปหัวใจให้พระองค์ทอดพระเนตร ใช่แล้วเพคะพระโพธิสัตว์กวนอิมให้หม่อมฉันตามหาดวงตารูปหัวใจนั้นหามีประวัติความเป็นมานานนับพันปีแล้วซึ่งเป็นของเก่าแก่ พระองค์อย่าได้ทรงหาสิ่งของวุ่นวายยุ่งเหยิงอันใดเป็นก่ายกองมานะเพคะ”

กู้ชูหน่วนหยิบพู่กันขึ้นแล้ววาดดวงตารูปหัวใจออกมา

“สัดส่วนต้องเท่ากันทุกประการ มากไปหนึ่งชุ่นก็ไม่ได้น้อยไปหนึ่งชุ่นก็ไม่ได้ จะต้องเหมือนกันทุกประการพอดิบพอดี”

จักรพรรดิเยี่ยทรงขมวดพระขนง “ซับซ้อนเช่นนี้เลยหรือ? ต้องมีประวัติศาสตร์นับพันปีและมีขนาดเท่าๆกัน สิ่งนี้คงหาได้ยากนัก”

“เมื่อเทียบกับผืนแผ่นดินของรัฐเยี่ยฝ่าบาททรงคิดว่าสิ่งนี้หาได้ยากหรือว่าผืนแผ่นดินรักษาเอาไว้ได้ยากเพคะ”

จักรพรรดิเยี่ยทรงหดหู่พระทัย

พูดจาเป็นชุดๆ เหตุใดเมื่อก่อนพระองค์ถึงไม่รู้ว่านางพูดจาได้แหลมคมเช่นนี้

พระองค์นำภาพวาดมาทอดพระเนตรแล้วทอดพระเนตรอีกและอดไม่ได้ที่จะทรงสงสัยว่า “น่าแปลก เหตุใดข้าถึงได้มองดวงตารูปหัวใจนี้คุ้นเคยนักนะ? มันคืออัญมณีชิ้นหนึ่งใช่หรือไม่ อัญมณีสีแดงเพลิงราวเฉกเช่นเดียวกับหินสีเลือดไก่ซึ่งแดงเสมือนเลือดไหลออกมา”

ใจกู้ชูหน่วนเต้น “ทำไม พระองค์ทรงเคยเห็นหรือเพคะ?”

“สิ่งนี้……ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ว่าเหมือนเคยเห็นตอนเด็กเนื่องจากว่ามันเป็นรูปหัวใจซึ่งรูปทรงสวยงามนักแต่ว่าแดงจนน่ากลัวยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงยังมีความทรงจำอยู่บ้างเล็กน้อย ”

“ดวงตารูปหัวใจนี้อยู่ที่ใดเพคะ?”

“นานเกินไปแล้วข้าจำไม่ได้เสียแล้ว รู้แค่ว่าเคยเห็นเพียงครั้งเดียวตอนเด็ก”

กู้ชูหน่วนชิงภาพเหมือนนั้นกลับมาแล้วเปลี่ยนสีหน้าในทันที “ฝ่าบาทก็ทรงคิดดูให้ดี หากว่าฝ่าบาทคิดไม่ออกว่าเคยทอดพนะเนตรเห็นดวงตารูปหัวใจนี้ที่ใด หม่อมฉันก็คิดไม่ออกว่าจะให้เทพแห่งสงครามล่าถอยได้เช่นไร”

“เจ้า……นี่เจ้าข่มขู่ข้า”

“แล้วแต่พระองค์จะทรงคิดอย่างไร ไม่ว่าบ้านเมืองจะถูกทิ้งไปจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ยังคงกินดนอยู่ดีเช่นดังเดิม”

“กู้ชูหน่วน เจ้าบังอาจนัก”

“ใครใช้ให้หม่อมฉันเป็นชายาเสด็จอาของพระองค์ ใครใช้ให้หม่อมฉันเป็นภรรยาของเทพแห่งสงคราม ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้บังอาจและมีความสามารถที่จะจองหอง หากพระองค์ไม่พอพระทัยก็ทรงไปหาเยี่ยจิ่งหานเลยโดยตรง”

หากมิใช่เพราะสถานะของนาง จักรพรรดิเยี่ยทรงอยากจะพระราชทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้นางเพื่อให้นางฆ่าตัวตายอยู่ตรงนั้น

ทันใดนั้นจู่ๆพระองค์ก็ทรงกลับรู้ตัวอีกครั้ง “ดูเหมือนข้าจะจำได้แล้วเป็นองค์หญิงตังตัง ตอนเด็กที่คอขององค์หญิงตังตังสวมดวงตารูปหัวใจอยู่ซึ่งแดงเสียจนราวกับว่าเลือดจะออกเช่นนั้น หลายๆคนหัวเราะเยาะนาง ภายหลังองค์หญิงตังตังโมโหจึงไม่ยอมสวมสร้อยเส้นนั้นอีกเลย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นอีกเลย”

“ดังนั้นความหมายของพระองค์คือดวงตารูปหัวใจอยู่กับที่องค์หญิงตังตัง?”

“น่าจะใช่นะ แต่ว่าด้วยนิสัยขององค์หญิงตังตัง สิ่งของที่นางไม่ชอบก็คงจะทิ้งไปเลย สร้อยเส้นนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกนางโยนทิ้งไปหรือเปล่า”

“วันนี้เป็นวันพิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ขององค์หญิงตังตังใช่ไหม?”

“ใช่……ใช่สิ”

“ไป พวกเราไปดูกัน”

“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกว่าเพียงแค่ข้าช่วยเจ้าตามหาดวงตารูปหัวใจพบ เจ้าก็จะช่วยล่าถอยทัพให้ข้าไม่ใช่หรือ?”

“ใช่สิ หม่อมฉันเคยกล่าว แต่ว่าตอนนี้พระองค์ยังช่วยหม่อมฉันหาไม่พบไม่ใช่หรือ หาให้พบก่อนค่อยว่ากัน”

“แต่ว่า…….เฮ้อ……เจ้าปล่อยมือ ข้าเป็นถึงจักรพรรดิแห่งรัฐเยี่ยซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุด เจ้าดึงคอเสื้อของข้าเช่นนี้แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”

“เสียงขีดข่วน”

“ปล่อยมือ กู้ชูหน่วน ข้าสั่งให้เจ้าปล่อยมือ”

ไม่ว่าจักรพรรดิเยี่ยจะดิ้นรนเช่นไรก็ราวกับเด็กซึ่งถูกกระชากคอเสื้อไปทางด้านหน้า

ตลอดทางนางกำนัลและองครักษ์หลายคนก็ได้เห็นกันหมดแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครกล้าออกเสียง แต่ละคนคุกเข่าก้มหมอบศีรษะลงและหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน

พระชายาหานก็ไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเลย

ในวังหลวงก็กล้าปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นนี้

อีกด้านหนึ่งของอุทยานอวี้ฮวา ที่นั่นร่ายรำทำเพลงเสียงดนตรีกระทบครื้นเครงไปครึ่งวังหลวง

เหล่าเสนาบดีไม่น้อยหลายพาภริยาและธิดาร่วมพิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ขององค์หญิงตังตัง แต่ละคนพูดคุยหัวเราะเฮฮากัน

แต่ที่มากที่สุดคือทั้งหมดชื่นชมความสวยสดดีงามขององค์หญิงตังตัง กล่าวจนองค์หญิงตังตังหัวเราะรื่นเริงอย่างมีความสุขออกมาเลยโดยตรง

พระพันปีประทับนั่งอยู่ที่นั่งหลักที่สองโดยทร่ปรากฏรอยยิ้มอันมีความสุขทั่วใบหน้า

องค์หญิงตังตังก็ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยสิ่งใดกับผู้ใดอยู่โดยที่หัวเราะรื่นเริงออกมาเป็นครั้งคราว

ที่นี่สนุกสนานรื่นเริงกัน ด้วยคำพูดของขันทีประโยคหนึ่งได้ขัดจังหวะขึ้นมา

“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว พระชายาหานเสด็จแล้ว”

สีหน้าขององค์หญิงตังตังเปลี่ยนไปในทันที

ฝ่าบาทไม่ได้มีอันใดแต่ว่ากู้ชูหน่วนมาทำสิ่งใดที่นี่?

วันนี้เป็นพิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ของพรองค์ซึ่งพระองค์ไม่ได้เชิญนาง

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระชายาหานพันหนึ่งพันปีพันพันปี”

เหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างคุกเข่าลงทีละคนๆ

ในใจนึกสงสัยว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้อยู่กับพระชายาหาน

ฝ่าบาทไม่ได้ทรงขัดแย้งกับเทพแห่งสงครามหรอกหรือ?

องค์หญิงตังตังลุกยืนขึ้นและจ้องมองกู้ชูหน่วนด้วยความไม่พอใจ “เสด็จพี่พระองค์นำกู้ชูหน่วนมาทำอันใดที่นี่?”

เพิ่มความรู้สึกอัดอั้นให้นางหรือ?

วันนี้เป็นพิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ของนางนะ

จักรพรรดิเยี่ยทรงจัดระเบียบคอเสื้ออันยับของพระองค์และแสร้งทำเป็นสงบนิ่งและด่าทอว่า “พูดจาเช่นไรกัน นางเป็นชายาเสด็จอาของเจ้านะ”

“เสด็จพี่”

กู้ชูหน่วนยิ้มพร้อมกับกระพริบตา “ได้ยินแล้วหรือไม่ ข้าเป็นถึงชายาเสด็จอาของท่านนะ เห็นชายาเสด็จอาแล้วยังไม่น้อมทักทายอีกไม่รู้จักมารยาทเลยจริงๆ”

“เจ้า……”

องค์หญิงตังตังยกมือขึ้นอยากจะตบนางสักฉาด

นางไม่ลืมว่าที่หอประมูลเฟิงเซียงนางลบหลู่นางอย่างไร

นี่เป็นครั้งหนึ่งอันน่าอับอายที่สุดในชีวิตของนาง

และก็เป็นครั้งหนึ่งที่น่าขายหน้าที่สุดด้วย

จนถึงตอนนี้ยังมีหลายคนยังคงขบขันนางอยู่

กู้ชูหน่วนกุมมือโบกพัดของนางด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ได้ยิ้ม “องค์หญิงตังตังลงมือตบตีผู้อาวุโสจะต้องถูกสายฟ้าฟาดเชียวนะ” “บังอาจ เจ้ากล้าว่าข้าจะถูกสายฟ้าฟาดหรือ”

“หากท่านไม่ตบตีผู้อาวุโสแล้วจะถูกสายฟ้าฟาดได้เช่นไร? ทวยเทพเอ็นดูท่านยังไม่ทันเลย”

“ตังตัง” พระพันปีร้องเรียกเสียงเข้ม

ฝีปากของกู้ชูหน่วนพระนางได้ทรงประจักษ์มาตั้งนานแล้ว ต่อให้ทุกคนที่นี่รวมกันก็ใช่ว่าจะสามารถตีฝีปากนั้นของนางได้

“ถวายความเคารพต่อชายาเสด็จอาของเจ้าสิ”

“เสด็จแม่……”

อารมณ์ความรู้สึกของตังตังหม่นหมองลงในทันที

หากไม่ใช่เพราะกลอุบายของนางแล้วนางอยู่ที่หอประมูลเฟิงเซียงจะใช้เงินมากมายเช่นนั้นไปประมูลคัมภีร์กวีอันไร้ประโยชน์ได้อย่างไร สิ่งน่าโมโหที่สุดคือนางไม่สามารถนำเงินออกมาได้ องค์หญิงตังตังผู้สง่างามกลับถูกหอประมูลเฟิงเซียงกักตัวเอาไว้ทำให้นางขายหน้าไปหมดแล้ว

ที่น่าหดหู่ใจยิ่งกว่าคือหลังเกิดเรื่องแล้วนางต้องการไปเอาเรื่องกับหอประมูลเฟิงเซียง แต่เสด็จแม่ของนางและเสด็จพี่ให้นางอดทนโดยบอกว่าหอประมูลเฟิงเซียงมีอำนาจใหญ่หลวงอยู่เบื้องหลังไม่จำเป็นต้องทำให้ขุ่นเคือง

“รีบถวายความเคารพเร็วเข้า”

สีหน้าขององค์หญิงตังตังราวกับถูกย้อมด้วยสีเช่นนั้นโดยที่แปรเปลี่ยนตลอดไม่หยุดจนในที่สุดก็นั่งลงตรงตำแหน่งอย่างอัดอั้นใจ โมโหจนไม่สนใจผู้ใดเลย

กู้ชูหน่วนยิ้มเล็กน้อย “องค์หญิงตังตังยังเยาว์ไม่เข้าใจมารยาทเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้เป็นวันพิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ขององค์หญิงตังตังพวกเราก็อย่าได้ถือสากับองค์หญิงตังตังเลย”

นางไม่กล่าวยังดี เมื่อกล่าวออกมาองค์หญิงตังตังก็โมโหขึ้นมาอีก

อะไรที่ว่านางไม่ถือสากับนาง ทำเสียว่านางใจกว้างมากมายนักส่วนพระองค์นั้นใจน้อยเช่นนั้น

“กู้ชูหน่วนอย่าคิดว่าเจ้าเป็นพระชายาหานแล้วจะสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ เสด็จแม่ของข้าเป็นพระพันปีองค์ปัจจุบัน น้องชายของข้าเป็นฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ส่วนข้าก็เป็นองค์หญิงภรรยาเอกองค์ปัจจุบัน ในด้านฐานันดรศักดิ์ข้าสูงส่งกว่าเจ้ามากมายนัก”

พระพันปีอยากจะทรงเป็นลมไปเลยจริงๆ

ตอนนี้ราชสำนักเกิดปัญหาทั้งภายในและภายนอกจึงไม่เหมาะที่จะทำให้เทพแห่งสงครามขุ่นเคือง ไม่เช่นนั้นรัฐเยี่ยจะต้องพ่ายแพ้แล้วจริงๆ

องค์หญิงตังตังก็จริงๆเลย เกิดนางฟ้องเทพแห่งสงครามเช่นนั้นพวกพระนางสามคนแม่ลูกจะทำเช่นไร?

“พระชายาหาน องค์หญิงตังตังยังเยาว์เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย วันหลังข้าจะให้องค์หญิงตังตังไปยังจวนด้วยตนเองเพื่อขออภัย”

“เสด็จแม่……”

“เจ้าหุบปากซะ”

“ฮึ”

จักรพรรดิเยี่ยทรงประทับนั่งบนบัลลังก์มังกรสูง พระองค์ก็ทรงไม่ชื่นชอบกู้ชูหน่วนแต่ก็ดันต้องพึ่งพากู้ชูหน่วนจึงทำได้เพียงแค่อดทนเสียแล้ว

กู้ชูหน่วนหาที่นั่งนั่งลงตามใจชอบพร้อมกับหยิบผลไม้ที่อยู่ข้างๆมากิน “หม่อมฉันจะถือสากับนางได้อย่างไรพระพันปีทรงตรัสรุนแรงเกินไปแล้วเพคะ เมื่อครู่พวกท่านกำลังพูดคุยสิ่งใดกัน พูดคุยมีความสุขกันเช่นนั้น”

พระพักตร์พระพันปีหม่นหมอง

หญิงผู้นี้เห็นพระนางเป็นอากาศหรือ?

ยังมีพระพันปีองค์นี้อยู่ในสายตาหรือไม่ถึงได้ไม่ทำความเคารพเลย ช่างบ้าบิ่นมากเกินไปแล้ว

เสนาบดีผู้หนึ่งเอาอกเอาใจและกล่าวประจบว่า “องค์หญิงตังตังทรงกล่าวว่าพระองค์ต้องการแข่งยิงธนู หากว่าผู้ใดได้ที่หนึ่งก็จะตบรางวัลใหญ่ให้”

“เช่นนั้นหรือ งั้นข้าก็เข้าร่วมด้วยแม้ว่าข้าจะไม่เคยยิงธนูแต่ข้าก็อยากจะลองเล่นดู”

ขณะที่คนทั้งหลายยังไม่ได้กล่าวองค์หญิงตังตังก็กล่าวขึ้นมา นางหัวเราะเยาะพร้อมกล่าวว่า “เจ้าอยากเล่นด้วยก็ได้แต่ว่าเจ้าก็ควรจะเดิมพันสิ่งใดสักเล็กน้อยใช่หรือไม่”

“โอ้……ฟังน้ำเสียงขององค์หญิงต้องการจะเดิมพันกับข้าหรือ?”

“ทำไมหล่ะ เจ้าไม่กล้าหรือ?”

“มีสิ่งใดไม่กล้า ไม่ได้เดิมพันมานานแล้วมือของข้ากำลังคันเลย”

“เช่นนั้นก็ดี หากเจ้าแพ้เจ้าจะต้องคุกเข่าตรงหน้าข้าและร้องเลียนเสียงสุนัขเห่าหนึ่งร้อยครั้งจากนั้นก็คุกเข่าคลานไปรอบอุทยานอวี้ฮวาหนึ่งรอบ”

“ตกลง” กู้ชูหน่วนคิดก็ไม่คิดก็เห็นด้วยเลยโดยตรง

ผู้คนในที่นั้นเสียงดังวุ่นวายโกลาหลกัน

นางเป็นถึงพระชายาหาน

หากว่าแพ้จริงๆ เป็นไปได้หรือที่จะต้องคุกเข่าเลียนแบบสุนัขเห่าจริงๆ?

หมายเหตุ

พิธีก้าวผ่านวัยเยาว์ เป็นพิธีการที่จัดขึ้นเพื่อแสดงว่าหนุ่มสาวเปลี่ยนจากการวัยเด็กสู่

ผู้ใหญ่

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท