กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 489
กู้ชูหน่วนยืนอยู่ด้านหลังของหินปลอมและมองออกไป แต่กลับเห็นว่าผู้ที่กำลังตำหนิบ่นด่าอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นจักรพรรดิของรัฐเยี่ย
จักรพรรดิเยี่ยมีพระชนมพรรษาเพียงไม่กี่สิบพรรษา และพระองค์ยังดูอ่อนเยาว์มาก
ตรงหน้าของพระองค์ มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่กว่าเจ็ดแปดคน ขุนนางเหล่านั้นร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวและก้มศีรษะลงกับพื้น โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเยี่ย พวกเขาตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
หนึ่งในนั้นคือพ่อของนาง อัครเสนาบดีกู้
หนึ่งในขุนนางพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ฝ่าบาท ไม่ใช่เป็นเพราะรัฐเยี่ยของเราขาดแคลนกำลังทหารที่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะเทพแห่งสงครามได้ออกคำสั่งขึ้นมาไม่ให้แม่ทัพใหญ่ของรัฐเยี่ยทั้งหมดเข้าร่วมการศึกสงคราม ไม่เช่นนั้นแล้วเทพแห่งสงครามจะจัดการพวกเขาเสียพ่ะย่ะค่ะ”
“บัดซบ ข้าเป็นจักรพรรดิหรือว่าเขาเป็นจักรพรรดิ พวกเขารับเงินเดือนจากใครกัน”
เหล่าขุนนางเงียบสงบลงอีกครั้ง
“พูดสิ เหตุใดถึงไม่พูดอะไร เป็นใบ้กันหมดเลยหรืออย่างไร? รัฐหวาจู่โจมมาจนถึงเมืองอู๋ซวงแล้ว หากยังบุกจู่โจมเช่นนี้ต่อไป แผ่นดินของข้าก็จะหายไปหมดและข้าก็จะกลายเป็นคนที่ไร้สิ้นแผ่นดินอยู่ และพวกเจ้าก็มีชะตาไม่ต่างไปจากข้าเท่าไรนักหรอก”
“ฝ่าบาท ตอนนี้มีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น หนึ่งคือเราฝืนพยายามต่อสู้ต่อไป สองคือเชิญให้เทพแห่งสงครามเข้ามาช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่มีวันยอมให้เทพแห่งสงครามเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน เทพแห่งสงครามมีความโลภมาก เขาต้องการตำแหน่งจักรพรรดิ เมื่อเขาขับไล่ศัตรูออกไปได้แล้ว คนต่อไปที่เขาจะจัดการก็คงจะเป็นข้า”
กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
หากเยี่ยจิ่งหานต้องการตำแหน่งจักรพรรดิของพระองค์จริง มีหรือพระองค์จะยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิได้จนถึงตอนนี้?
ก็ไม่รู้เช่นกันว่าในหัวของพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปนาน หลังจากนั้นอัครเสนาบดีกู้จึงพูดขึ้นมา “ฝ่าบาท อันที่จริงก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีอะไรหรือ?”
“แม่ทัพใหญ่เซี่ยวมีความเชี่ยวชาญในด้านการรบ สามารถให้เขาเป็นหัวหน้าในการออกรบนำทัพได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพใหญ่เซี่ยว? ไม่ได้ๆ ลูกชายของเขาแต่งงานกับองค์หญิงจวิ้นจู่ของรัฐหวา หากพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันขึ้นมา เช่นนั้นแล้วตำแหน่งจักรพรรดิของข้าก็จะสูญสิ้นไปด้วย”
“ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่เซี่ยวมีความจงรักภักดีอย่างมาก กระหม่อมคิดว่าเขาคงไม่คิดคดทรยศรัฐเยี่ยอย่างแน่นอน และอีกอย่าง หากเขาคิดทรยศหักหลังรัฐเยี่ยจริง พวกเขาทั้งตระกูลก็คงหนีตายกันไปตั้งนานแล้ว และคงไม่ปล่อยให้ฝ่าบาทส่งคนไปปิดล้อมและจับกุมพวกเขา คนในตระกูลแม่ทัพใหญ่เซี่ยวทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษและมีคุณงามความดีในด้านการทำศึกสงคราม ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงแค่เดิมพันกับสิ่งนี้”
จักรพรรดิองค์น้อยเดินไปเดินมาไม่หยุดหย่อน และในใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด
อัครเสนาบดีพูดต่ออีกว่า “ฝ่าบาทสามารถใช้ความโปรดปรานและการข่มขู่ร่วมกัน และให้แม่ทัพใหญ่เซี่ยวออกมาเพียงคนเดียว หากเขาสามารถทำการรบและได้รับชัยชนะ ก็จะปล่อยคนในตระกูลของเขาทั้งหมดและเลื่อนขั้นตำแหน่งให้กับเขา แต่หากเขาพ่ายแพ้การศึกสงคราม เช่นนั้นแล้วจวนในจวนแม่ทัพทุกคนจะต้องสังเวยด้วยชีวิต หากเป็นเช่นนี้ มีหรือที่แม่ทัพใหญ่เซี่ยวจะไม่ยอมทำตาม?”
จักรพรรดิเยี่ยแววตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “วิเศษ แผนการนี้วิเศษอย่างมาก เช่นนั้นก็ทำตามที่อัครเสนาบดีกู้พูดมา ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เขาจะยอมเห็นคนในจวนของเขาทั้งหมดต้องมาสังเวยชีวิตเพื่อเขา”
แววตาของกู้ชูหน่วนเย็นชาลง
อัครเสนาบดีกู้ออกแผนการเช่นนี้ขึ้นมา ไม่ว่าแม่ทัพใหญ่เซี่ยวจะมีความจงรักภักดีหรือไม่ สงครามครั้งนี้ เขาจะต้องได้รับชัยชนะเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีเหลือหนทางไหนให้แม่ทัพใหญ่เซี่ยวได้อีกเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การทำสงครามในครั้งนี้จะต้องได้รับชัยชนะเท่านั้น ห้ามแพ้
เป็นวิธีการที่เลวทรามสิ้นดี
จักรพรรดิเยี่ยตรัส “รีบไปที่คุกคุมขังและประกาศคำสั่งของข้าออกไป ให้เขาออกไปทำคุณงามความดีในฐานะนักโทษและให้เขาได้รับชัยชนะเท่านั้น ห้ามแพ้ ไม่เช่นนั้นคนของตระกูลเซี่ยวนับร้อยชีวิตจะต้องสังเวยชีวิตให้กับเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างพากันถอยออกไป นางกำนัลทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันออกไป
กู้ชูหน่วนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินออกมา
จักรพรรดิเยี่ยตกใจ “ใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้”
“จะโวยวายอะไรหรือเพคะ ไม่ใช่ผีเสียหน่อย”
“เป็นเจ้าหรอกหรือ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” จักรพรรดิเยี่ยจ้องมองด้วยความโกรธ
เยี่ยจิ่งหานกลั่นแกล้งรังแกเขาก็เกินทนแล้ว แม้แต่หญิงสาวอัปลักษณ์คนนี้ก็มารังแกพระองค์ ยังเห็นพระองค์ยังเป็นจักรพรรดิของรัฐเยี่ยอีกหรือไม่?
“บรรยากาศตอนค่ำคืนดี หม่อมฉันก็เลยออกมาเดินเล่นเพคะ”
“บังอาจ เจอหน้าข้าแต่ไม่รู้จักคุกเข่าทำความเคารพ ในสายตาของเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนเขี่ยขี้หูและบ่นพึมพำอย่างไร้ความอดทน “หนวกหู”
“บังอาจ ข้าเป็นถึงจักรพรรดิแห่งรัฐเยี่ยอันทรงเกียรติ แต่เจ้ากลับกล้าดูหมิ่นและไร้มารยาทเช่นนี้ ส่งคนมาที่นี่ ส่งคนมาที่นี่……”
กู้ชูหน่วนเอามือกอดอกด้วยท่าทางสบายๆ ไร้การควบคุม “ฝ่าบาท หม่อมฉันแนะนำฝ่าบาทคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตะโกนเรียกคนอื่นเข้ามา ฝ่าบาทลองคิดดูให้ดี ต่อให้ฝ่าบาทเรียกทหารองครักษ์มาที่นี่แล้ว ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นพระชายาของเทพแห่งสงคราม พวกเขามีหรือจะกล้าทำอะไรหม่อมฉัน?”
“เจ้า……”
จักรพรรดิเยี่ยโกรธจัด ผู้หญิงคนนี้ เห็นได้ชัดว่านางกำลังข่มขู่พระองค์อยู่
เพราะการตะโกนออกไปของพระองค์ทำให้ทหารองครักษ์จึงพากันวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก และทุกคนต่างพากันคุกเข่าลง
“คารวะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ฝ่าบาทเรียนข้าน้อยมาเพื่อ……” ผู้ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์เหลือบมองกู้ชูหน่วนและอดไม่ได้ที่จะเผลอจับมีดที่อยู่ข้างกายเพื่อป้องกัน
“ข้าตะโกนเรียกพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร เป็นถึงทหารองครักษ์ในพื้นที่เขตพระราชฐาน แต่ความสามารถการได้ยินของพวกเจ้ากลับไม่ได้เรื่อง เหตุใดที่ข้าถึงไว้ใจให้พวกเจ้าคอยรักษาความปลอดภัยของข้าได้นะ”
“พ่ะย่ะค่ะ……”
“ยังไม่รีบถอยไปอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มทหารองครักษ์เข้ามาและจากไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น
กู้ชูหน่วนยกนิ้วให้กับพระองค์และยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ฝ่าบาทก็เป็นคนที่สามารถเรียนรู้ได้”
จักรพรรดิเยี่ยกัดฟันกรอด “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอเท่านั้น ข้าจึงเกิดความสงสารจะไม่อยากเห็นเจ้าต้องเข้าไปอยู่ในคุกก็เท่านั้น”
ตอนนี้รัฐหวาร่วมมือกับหลายรัฐเพื่อบุกโจมตีพวกเขา พระองค์ขอความช่วยเหลือไปยังรัฐฉู่ แต่รัฐฉู่กลับคิดเพียงต้องการกำจัดเผ่าปีศาจและไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ราชสำนนักไม่มีแม่ทัพคนไหนที่สามารถใช้งานได้ แต่ในมือของเทพแห่งสงครามกลับมีแม่ทัพใหญ่และกองกำลังจำนวนมากนับไม่ถ้วน
พระองค์ไม่ต้องการสร้างศึกภายนอกและศึกภายใน ปัญหานี้พระองค์จึงต้องอดทนเอาไว้ก่อน
“เพคะ ฝ่าบาททรงมีจิตใจกว้างขวางอย่างยิ่ง จะยอมให้พี่สะใภ้ของพระองค์เข้าไปอยู่ในคุกได้อย่างไร ฝ่าบาท ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?”
“เหตุใดข้าต้องบอกให้เจ้ารู้ด้วย”
จักรพรรดิเยี่ยจ้องนางตาเขม็งและหันหลังเดินจากไป
กู้ชูหน่วนก็ไม่ได้สนใจและพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้รัฐหวาถอยออกไป หากหม่อมฉันมีวิธีทำให้กองกำลังของรัฐหวาร่นถอยออกไปได้ล่ะเพคะ?”
จักรพรรดิเยี่ยหยุดชะงักและหัวเราะเยาะ “เจ้าน่ะหรือ? ขุนนางในราชสำนักต่างไร้หนทาง เจ้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งจะมีวิธีอะไร? กลับบ้านไปชมสวนดอกไม้เถอะ เรื่องของราชสำนักไม่ใช่เป็นเรื่องที่เจ้าควรรับรู้”
“จริงหรือเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองอะไร แต่หม่อมฉันกลับรู้จักหานอ๋องเป็นอย่างดี”
หัวใจของจักรพรรดิเยี่ยเต้นแรง “เทพแห่งสงคราม?”
“ใช้แล้วเพคะ เทพแห่งสงครามเก่งกาจในเรื่องการสู้รบไม่ใช่หรือ? ขอเพียงแค่เขายื่นมือเข้าไปช่วย มีหรือที่กองกำลังของรัฐหวาจะบุกเข้ามาได้?”
“ข้าเกรงว่าก่อนที่รัฐหวาจะบุกเข้ามา เทพแห่งสงครามจะบุกโจมตีเข้ามาก่อนสิไม่ว่า”
“หากหม่อมฉันจะบอกว่าเทพแห่งสงครามไม่มีทางบุกโจมตีเข้ามายังวังหลวงและไม่มีทางแย่งตำแหน่งจักรพรรดิของฝ่าบาทไป และเพียงแค่ขับไล่กองกำลังของรัฐหวาออกไปล่ะเพคะ?”
“ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?”
“ฝ่าบาทเป็นถึงจักรพรรดิของรัฐเยี่ย ทุกสิ่งทุกอย่างที่หม่อมฉันมีอยู่ตอนนี้ก็เป็นของฝ่าบาททั้งหมด” ความหมายของนางก็คือ ไม่ว่านางจะใช้สิ่งใดมารับประกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นของๆ พระองค์
เมื่อได้ยินดังนี้ จักรพรรดิเยี่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยและนับว่านางพอรู้และเคารพพระองค์อยู่บ้าง
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”
“ฝ่าบาทลองคิดดู การบุกโจมตีเข้ามาของรัฐหวานั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่พวกเขาเดิมพันว่าเทพแห่งสงครามไม่มีทางยื่นมือเข้ามาช่วยฝ่าบาท ทำให้พวกเขาจู่โจมเข้ามาอย่างกล้าบ้าบิ่น และพวกเขาก็คงคิดได้ว่าฝ่าบาทจะสั่งให้แม่ทัพเซี่ยวเป็นคนนำทัพออกรบ ในเมื่อพวกเขาคิดได้เช่นนั้น ต่อให้ฝ่าบาทส่งแม่ทัพใหญ่เซี่ยวออกไปสู้รบ ฝ่าบาทคิดว่าจะมีทางได้รับชัยชนะอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง หากไม่สามารถชนะได้ รัฐเยี่ยก็จะตกอยู่ในอันตราย”
ใบหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของจักรพรรดิเยี่ยมีรอยย่นและหมองคล้ำ
“อีกอย่าง หากรัฐเยี่ยตกอยู่ในสถานะพ่ายแพ้ รัฐอื่นจะใช้โอกาสนี้เข้ามาก่อกวนสร้างความเดือดร้อนเพิ่มขึ้น ฮึฮึฮึ หากถึงตอนนั้นจริง นับเป็นเรื่องยากที่รัฐเยี่ยจะกลับไปมีชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง”