กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 500
เจี้ยงเสวี่ยรีบบอกว่า “นายท่าน กระหม่อมจะไปแจ้งให้ที่หอเทียนหวั่งตรวจสอบก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รอให้เยี่ยจิ่งหานตอบรับ เจี้ยงเสวี่ยก็ผละไปแล้ว
ชิงเฟิงตะลึงงัน
เขาลืมเรื่องนี้อีกแล้ว
ในอนาคตหากมีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับพระยาชาอีก เขาจะต้องรีบหนีไปและทิ้งเรื่องยุ่งๆ ไว้ให้เจี้ยงเสวี่ย
ที่เรือนใหญ่หลังหนึ่งทางตอนใต้ของเมือง
นิ้วอันเรียวยาวดั่งหยกของจอมมารค่อยๆ กรีดไปตามต้นฉบับทีละหน้า
ใบหน้าที่ชั่วร้ายบ้างก็ขมวดคิ้ว บ้างก็ยิ้ม บางทีก็เศร้า อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามต้นฉบับที่เปลี่ยนไป
ในที่สุดก็พลิกอ่านต้นฉบับจนหมด
เขาขมวดคิ้วอย่างขุ่นใจ
“แล้วต่อไปล่ะ”
“นายท่าน พวกข้ารับใช้ยังไม่ได้ส่งมา น่าจะมาถึงเร็วๆ นี้ขอรับ”
“ช้าเกินไป ในเมื่อก้าวขาได้ช้าขนาดนี้จะเก็บขาไว้เพื่ออะไร ตัดขามันซะ ส่งคนที่ฝีเท้าเร็วกว่านี้ไป”
“ขอรับ”
นักฆ่าโลหิตปาดเหงื่อ
นายท่านฟันทิ้งไปหลายคนแล้ว ถ้ายังฟันทิ้งต่อไปอีก พวกวิ่งทำตามคำสั่งจะต้องถูกฟันทิ้งหมดแน่
ไม่ใช่พวกนั้นช้า แต่กู้ชูหน่วนยังเขียนไม่เสร็จต่างหาก อีกทั้งนายท่านยังอ่านเร็วมาก พวกเขาจะทำอะไรได้
“นักฆ่าโลหิต เจ้าว่าข้าคือตัวละครตัวไหนในหนังสือของพี่หญิง”
“เรื่องนั้น… ข้าน้อยโง่เขลา ข้าน้อยมิทราบ”
“ข้านั่งดูนอนดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าเฟิงหลิงคือข้า หรือว่าฉู่อวี่เฉินคือข้ากันแน่ เอาอย่างนี้ เจ้าไปถามพี่หญิงให้ทีว่าแท้จริงแล้วตัวละครไหนคือข้า”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน ช่างมัน ถ้าพี่หญิงรู้ว่าข้าเดาไม่ได้แม้แต่เรื่องแค่นี้นางคงโกรธ เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าข้ายังไม่รู้จักนางดีพอ”
นักฆ่าโลหิตอยากจะบอกว่า
แม่นางกู้อาจจะแค่แต่งเรื่องขึ้นมาเฉยๆ
ไม่มีใครถูกนำมาเขียนเป็นตัวละครทั้งนั้น
แต่นายท่านครุ่นคิดอย่างหนักและมีจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดอะไรไม่ได้และทำได้เพียงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
“ข้าคิดว่าฉู่อวี่เฉินน่าจะเป็นข้า อย่างข้าจะเป็นเฟิงหลิงได้อย่างไร เฟิงหลิงเลือกโลกนี้มากกว่าจะเลือกหยางฉู่รั่ว ในตอนเริ่มต้นเขาเพียงแค่ใช้หยางฉู่รั่วเป็นตัวหมากเพื่อหาผลประโยชน์ แต่ข้าไม่เคยหาประโยชน์จากพี่หญิงมาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ถ้าให้เลือกระหว่างโลกกับพี่หญิง ข้าไม่มีทางโง่ไปเลือกโลกแน่นอน”
“ขอรับ นายท่านพูดถูก”
“เฟิงหลิงผู้นั้นช่างโง่เขลาเสียจริง ต่อให้ได้ครอบครองบัลลังก์ ต่อให้ได้ครอบครองทั้งใต้หล้าแล้วอย่างไร ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ทั้งยังเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้อีก สู้ไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ กับพี่หญิงและแบ่งปันความสุขในชีวิตร่วมกันยังจะดีกว่า”
“ขอรับ…”
“อีกอย่าง ตอนสุดท้ายพี่หญิงยังเขียนว่าหยางฉู่รั่วมีความสัมพันธ์กับเฟิงหลิงหลังจากแต่งงานกับฉู่อวี่เฉิน ไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใครกันแน่ เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอยากจะบอกเป็นนัยว่านางไม่อยากมีลูกกับหานอ๋อง แต่อยากมีลูกกับข้า”
นักฆ่าโลหิตปาดเหงื่ออีกครั้ง
คำถามนี้ทำให้เขาพูดไม่ออก
“เช่นนั้นข้าน้อยจะส่งคนไปถามแม่นางกู้นะขอรับ”
“เจ้านี่มันสมองหมู พี่หญิงจะต้องรู้แน่ว่าข้าเดาไม่ออก แล้วนางที่ต้องการคนแข็งแกร่งจะยอมแต่งงานกับข้ารึ”
“จริงด้วยขอรับ…”
“ให้คนไปเร่งอีก ส่งเนื้อเรื่องตอนต่อไปมาให้เร็วๆ”
“นายท่าน เราส่งคนสิบแปดคนไปอย่างเร่งด่วนแล้วนะขอรับ”
“ส่งไปอีกสิบแปดคน ให้เร็วกว่านี้ อย่าให้ข้าต้องพูดมาก”
…..
ณ สำนักศึกษาวังหลวง กู้ชูหน่วนนั่งเขียนตั้งแต่เช้ายันค่ำและเขียนต่อตั้งแต่ค่ำยันเช้า เขียนจนแขนทั้งสองข้างล้าไปหมด
ใกล้ๆ หูมีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจแสดงความเห็นไม่รู้จบ หลายคนถึงกับเร่งให้นางเขียนให้เร็วขึ้นอีก
กู้ชูหน่วนโมโหจนโยนพู่กันขนหมาป่าในมือทิ้ง “แค่อ่านเพลินๆ มันจะไปเหนื่อยอะไร ถ้าอยากให้เร็วกว่านี้พวกเจ้าก็มาเขียนเองเลยมา”
“พระชายาหาน งานเขียนของท่านดีมากจริงๆ พวกเราอ่านแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะอ่านให้จบทั้งเรื่อง”
กู้ชูหน่วนร้อนมากจนต้องสะบัดแขนเสื้อ
คนพวกนี้ห้อมล้อมนางไว้สามชั้นสี่ชั้น อยากให้นางหายใจไม่ออกหรืออย่างไร
“ถ้าอยากให้ข้าเขียนต่อ พวกเจ้าทุกคนต้องถอยออกไปยี่สิบก้าว หยุดเข้ามาใกล้ข้าเสียที”
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากได้ปิ่นระย้า นางคงทนไม่ได้มาจนถึงตอนนี้
ทุกคนต่างลังเลที่จะถอยออกไป เพราะถ้าถอยออกไปก็จะไม่เห็นว่านางเขียนอะไร
แต่ถ้าไม่ถอยออกมาพวกเขาก็กลัวว่ากู้ชูหน่วนจะปั่นหัวพวกเขาด้วยการหยุดเขียนเอาดื้อๆ ถึงตอนนั้นจะยิ่งแย่ขึ้นไปอีก ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ถอยออกมาเท่านั้น
ขณะที่กู้ชูหน่วนกำลังหมดความอดทน ชิงเฟิงก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
เขาคำนับอย่างนอบน้อมและถ่ายทอดคำพูดอย่างตรงไปตรงมา และนั่นเป็นตัวจุดชนวนความโกรธของกู้ชูหน่วนขึ้นมาอีกครั้ง
“กระหม่อมคารวะพระชายา ขอพระชายาอายุยืนพันปี พันๆ ปี”
“มีสิ่งใดก็ว่ามา ถ้าไม่มีก็ไสหัวไป”
“เรียนพระชายา นายท่านขอให้กระหม่อมมาแจ้งว่าท่านจะเขียนเรื่องให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ตัวเอกหญิงหยางฉู่รั่วมีความสัมพันธ์กับตัวเอกชายฉู่อวี่เฉินได้เท่านั้น จะมีอะไรกับเฟิงหลิงไม่ได้ นอกจากนี้เด็กในครรภ์จะต้องเป็นลูกของนายท่าน… ไม่สิ เป็นลูกของฉู่อวี่เฉิน”
กู้ชูหน่วนข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ นางจ้องมองชิงเฟิงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จ้องจนชิงเฟิงหน้าชา
“ข้าแค่เขียนนิยาย นายท่านของเจ้าต้องมายุ่งด้วยหรือ เขาว่างนักหรือไงถึงมีเวลามาก้าวก่ายข้าอย่างนี้”
“เอ่อ… นั่น… นายท่านยังบอกอีกว่าตัวเอกหญิงหยางฉู่รั่วรักได้เพียงฉู่อวี่เฉินเท่านั้น จะต้องไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่น นอกจากนี้ยังห้ามตกหลุมรักสตรีอื่นด้วย”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่เรียกให้นายของเจ้ามาเขียนเองเสียเลยล่ะ”
“เอ่อ… เรียนพระชายา กระหม่อมเพียงแค่มาถ่ายทอดคำพูดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงเฟิงทำหน้าตาใสซื่อ
เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเขาถ่ายทอดคำพูดของนายท่าน พระชายาจะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขันทีข้างกายของจักรพรรดิเยี่ยก็มาถ่ายทอดกระแสรับสั่ง
“เรียนพระชายาหาน ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าแม้ว่าเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อจะเป็นคนเผด็จการ แต่เขาก็เคยเป็นคนที่มีจิตใจดี เป็นกษัตริย์ผู้มีคุณธรรมและขยันขันแข็ง ท่านจะเขียนให้เขาดูแย่เกินไปไม่ได้ จุดจบของเขาจะต้องดี นอกจากนี้จะต้องได้เคียงคู่กับหยางฉู่รั่วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วน “…”
“ฝ่าบาทยังตรัสด้วยว่าท่านเขียนช้าเกินไป ขอให้ท่านเขียนให้เร็วขึ้น เวลานี้ฝ่าบาทกำลังรออย่างร้อนพระทัย”
กู้ชูหน่วนทำเสียงดังปึ้งแล้วโยนพู่กันขนหมาป่าทิ้งทันที นางเอนหลังพิงเก้าอี้และกอดอก มองผู้คนที่อยู่ในสำนักศึกษาวังหลวงด้วยสายตาเยือกเย็น
เสี่ยวหลี่จือถามอย่างไม่เข้าใจ “ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านเขียนให้เร็วขึ้น เหตุใดท่านจึงหยุดเขียนพ่ะย่ะค่ะ”
“เขียนมาทั้งวันทั้งคืน ข้าเหนื่อย ไม่เขียนแล้ว!”
“อา… พระชายาหาน ท่านทำเช่นนี้ บ่าวจะทูลฝ่าบาทว่าอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นมันเรื่องของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเขียนมาทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องกินต้องนอนหรืออย่างไร อีกอย่าง… ตอนนี้ข้าไม่มีแรงบันดาลใจ เขียนต่อไม่ออก”
“แล้วเมื่อใดท่านจึงจะมีแรงบันดาลใจพ่ะย่ะค่ะ”
“บอกไม่ได้ อาจจะสิบวัน ครึ่งเดือน หนึ่งปี หรือไม่ก็แปดปีสิบปีละมั้ง”
ฮือ…
พอพูดออกไปแบบนี้
คนในสำนักศึกษาหวังหลวงก็พากันตื่นตระหนก
พวกเขาคงจะรอไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องรอไปถึงแปดปีหรือสิบปีจริงๆ เส้นผมของพวกเขาคงขาวหมดหัวเป็นแน่
“พระชายาหาน ถ้าท่านหิวก็เชิญกินอะไรก่อน ถ้าท่านเหนื่อยก็จงหลับพักผ่อน แต่แปดปีหรือสิบปีนั้นนานเกินไป พวกเราต่างกำลังรอคอยอย่างมีความหวัง”
“ใช่ๆ ถ้ายังอ่านเรื่องนี้ไม่จบหัวใจของข้ามันจะคันยิบๆ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำได้แค่รอให้ท่านเขียนต่อ”
กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะ
คนพวกนี้คิดว่านางเป็นนักประพันธ์หรืออย่างไร
นางว่างมากจนต้องมาเขียนนิยายให้พวกเขาอ่านเลยรึ
นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ปิ่นระย้าของท่านอาจารย์ซั่งกวนเป็นของที่มีฝีมือประณีต ทั้งยังเป็นหยกชั้นดี หรือท่านไม่อยากชนะที่หนึ่งและรับปิ่นระย้าหยกขาวลายผีเสื้อนั่นแล้ว”
“ข้าอยากจะมีชีวิตมากกว่า”
เกิดเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจในสำนักศึกษาวังหลวง
บางคนเกลี้ยกล่อมกู้ชูหน่วน
บางคนนำอาหารและเครื่องดื่มมาส่งให้
บางคนแอบตำหนิหานอ๋องและจักรพรรดิเยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา กู้ชูหน่วนมีหรือจะหยุดเขียน
บางคนกำลังพูดถึงตอนต่อๆ ไป
ซั่งกวนฉู่อ่านต้นฉบับ ดวงตาที่อ่อนละมุนของเขาจ้องมองไปที่คำว่าเฟิงหลิงอีกครั้ง
ในหนังสือ เฟิงหลิงเป็นพระโอรสผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานของรัฐเฟิงซึ่งถูกทิ้งไว้ที่รัฐฉู่ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเขาหน้าตาดี องค์หญิงติงตังจึงสนพระทัยและเขาก็กลายเป็นนายบำเรอ
ภายนอกเขาคือนายบำเรอ
ทว่าความจริงเขาคือเจ้าของร้านอวิ๋นเทียน ไม่เพียงแต่จะมีอำนาจมากจนส่งผลกระทบต่อระบบการค้าในใต้หล้า แต่ยังมีกองทัพหงส์ที่เกรียงไกรอยู่อีกหนึ่งกองทัพ
นอกจากนี้เขายังมีความคิดที่ลึกซึ้ง มีท่าทีเคร่งขรึม เป็นเจ้ากลยุทธ์ที่มองการณ์ไกล
เฟิงหลิงมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ต้องการบัลลังก์แห่งรัฐเฟิง แต่คิดจะรวมโลกทั้งใบให้เป็นหนึ่งเดียว
ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากหยางฉู่รั่ว ใช้หยางฉู่รั่วเป็นตัวหมากตัวหนึ่งเพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ ให้เขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งรัฐเฟิงและกลายเป็นเจ้าผู้ครองโลก
แต่สุดท้ายเขากลับตกหลุมรักตัวหมากอย่างหยางฉู่รั่ว
ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับนาง
น่าเสียดายที่ภายในใจของหยางฉู่รั่วมีเพียงฉู่อวี่เฉิน และนางก็แค้นเฟิงหลิงเป็นอย่างมาก
เฟิงหลิงในหนังสือของกู้ชูหน่วนพาดพิงถึงเขาใช่หรือไม่
เขาเองก็เกือบจะมีอะไรกับกู้ชูหน่วนเหมือนกัน
นอกจากนั้น…
แม้ว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเขาจะเป็นเผ่าเพลิงฟ้า
แต่เผ่าเพลิงฟ้าก็เป็นราชนิกุลเหมือนกัน ถ้าว่ากันอย่างจริงจังเขาก็คือหนึ่งในโอรสของรัฐที่สูญสิ้นไปแล้ว
กู้ชูหน่วนรู้ตัวตนของเขาแล้วงั้นหรือ
ไม่อย่างนั้นตัวละครเฟิงหลิงจะออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาคือนายน้อยแห่งเผ่าเพลิงฟ้า ทั้งใต้หล้านี้ นอกจากผู้อาวุโสของเผ่าเพลิงฟ้าก็ไม่มีใครอีกแล้วที่รู้เรื่องนี้ นางรู้ได้อย่างไรกัน
ซั่งกวนฉู่เก็บต้นฉบับและเดินไปถามด้วยท่าทีที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กู้ชูหน่วน ตัวละครในหนังสือของเจ้ามีที่มาจากไหนหรือ”
“ก็แค่คิดไปเรื่อย” กู้ชูหน่วนตอบอย่างเกียจคร้านพลางกินไปด้วย
“หยางฉู่รั่วชอบคนแบบฉู่อวี่เฉินหรือ”
“ถามแปลกๆ ถ้าไม่ชอบ ฉู่อวี่เฉินจะเป็นพระเอกได้อย่างไร”
เช่นนั้นก็คือ…
นางชอบตัวละครฉู่อวี่เฉิน แต่อายเกินกว่าจะพูดออกมางั้นหรือ?
แต่ในหนังสือเล่มนี้ หยางฉู่รั่วใช้ฉู่อวี่เฉินยิ่งกว่า นั่นไม่ใช่การใช้ประโยชน์รึ
“แล้ว… อย่างเฟิงหลิงล่ะ ท่านคิดอย่างไรจึงจัดเค้าโครงเรื่องเช่นนี้ให้เฟิงหลิง”
“จินตนาการเอานะสิ”
กู้ชูหน่วนแทบจะพูดไม่ออก
เหตุใดวันนี้ซั่งกวนฉู่จึงพูดมากนัก
ปกติแทบจะไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย
ซั่งกวนฉู่อยากรู้ว่าต่อไปนางจะเขียนโครงเรื่องสำหรับนางเอกกับเฟิงหลิงอย่างไร
และยิ่งอยากรู้ว่าเด็กในท้องของหยางฉู่รั่วคือลูกของใครกันแน่
เขาได้แต่เฝ้ารอต่อไป