กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 556
“มีค่ายกลไฟ กริชเพลิง เมฆเพลิง ค่ายกลพิษ มดพิษ ตะขาบพิษและอื่นๆ อีกมาก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือจะมีค่ายกลขนาดใหญ่อยู่ทุกๆ สิบเมตร ค่ายกลเหล่านั้นทรงพลังเกินไปจนเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แทบจะทรุดอยู่ที่นั่น” กู้ชูหน่วนแปลคำพูดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ให้พวกเขาฟัง
เยี่ยจิ่งหานมีสีหน้าเคร่งขรึม
ถ้าเป็นไปอย่างที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกจริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้แล้วว่าทั่วทุกที่มีค่ายกลอยู่มากแค่ไหน
มีค่ายกลซ่อนอยู่ทุกๆ สิบเมตรและแต่ละค่ายกลจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังไม่มีจุดศูนย์ถ่วง พวกเขาไม่มีทางบุกเขาไปได้เลยจริงๆ
จอมมารเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ขึ้นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างมากพวกเราก็แค่ต้องหาทางลง ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุก พี่หญิง ถ้าท่านอยากหาเรื่องตื่นเต้นทำ ข้าจะพาท่านไปที่อื่น”
กู้ชูหน่วนกลอกตา
นางดูเหมือนคนว่างไม่มีอะไรทำงั้นหรือ
มองหาเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรกัน
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าไม่เห็นกุญแจรูปดาวข้างบนนั้นเลยหรือ”
จอมมารตระหนักได้ทันที “ที่แท้ท่านก็มาที่นี่เพื่อตามหากุญแจรูปดาวชิ้นที่สองจริงๆ ด้วย”
เยี่ยจิ่งหานขมวดคิ้วเล็กน้อย “กุญแจรูปดวงดาว?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรอก นี่เป็นความลับระหว่างข้ากับพี่หญิง”
“กุญแจรูปดวงดาวมีทั้งหมดสามชิ้นใช่หรือไม่”
กู้ชูหน่วนประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีกุญแจรูปดาวทั้งหมดสามชิ้น”
“เคยอ่านเจอในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ว่ากันว่าใช้ไขขุมทรัพย์ได้ แต่เป็นขุมทรัพย์แบบไหนนั้นไม่มีบันทึกเอาไว้”
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่ากุญแจรูปดาวชิ้นที่สองอยู่ตรงไหน ณ ที่แห่งนี้”
เยี่ยจิ่งหานเลิกคิ้ว “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า”
“ช่างเถอะ ท่านไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าขึ้นไปดูอีกทีว่ามีจุดศูนย์ถ่วงตรงไหนบ้างหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ยังต้องขึ้นไปต่อ”
“นายท่าน ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใดกำแพงหินก็ยิ่งเรียบ ไม่มีจุดศูนย์ถ่วงใดๆ เลย อ้อ… ไม่ใช่ ปุ่มแหลมที่ยื่นออกมาก็ไม่อาจนับว่าเป็นจุดศูนย์ถ่วง มันรองรับคนได้คนเดียว และวิชาตัวเบาก็ต้องดีด้วย”
“เอาเถอะน่ะ พาข้าขึ้นไป”
“แล้วพวกข้าล่ะ พวกข้าจะทำอย่างไร”
“พวกท่านอยากไปที่ไหนก็เรื่องของพวกท่าน”
กู้ชูหน่วนว่าพลางสั่งให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พาตนเองขึ้นไปทันที
เยี่ยจิ่งหานหิ้วเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาและขู่ว่า “ถ้าวันนี้เจ้าพานางขึ้นไปคนเดียว ต่อไปก็อย่าได้คิดจะกินเนื้อที่จวนหานอ๋องอีก”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้ง
นี่มันขู่กันชัดๆ จะโหดร้ายเกินไปแล้ว
มันจะอดกินเนื้อไม่ได้
จอมมารยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่พาข้าไปด้วย ก็อย่าคิดว่าจะได้กินเนื้อจากเผ่าปีศาจของข้าอีก”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยอมจำนนในทันที
ไม่ว่าจะเป็นจวนหานอ๋องหรือเผ่าปีศาจ อาหารจากพวกเขาล้วนเป็นของที่ดีกว่าที่อื่นมาก
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เอ่ยอย่างออดอ้อน “นายท่าน ข้าขอพาพวกเขาสองคนไปด้วยได้หรือไม่”
“ไม่ได้”
“โธ่… เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถูกไฟคลอกจนเจ็บปวดสิ้นไร้เรี่ยวแรง เช่นนั้นนายท่านลองหาวิธีขึ้นไปเองเถิด”
กู้ชูหน่วนแทบอยากจะจับเจ้างูที่เห็นอาหารดีกว่าเพื่อนมาทำเป็นอาหารเสียเดี๋ยวนี้
จะอะไรกันนักกันหนา
“ถ้าเจ้าไม่รีบพาข้าขึ้นไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนเจ้าทิ้งไปเดี๋ยวนี้”
“ก็ได้ๆ ข้าจะพาท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลายเป็นงูยักษ์ในทันที นอกจากจะแบกกู้ชูหน่วนไว้บนหลังแล้ว มันยังแบกเยี่ยจิ่งหานและจอมมารขึ้นมาด้วย
ที่ด้านบนอันตรายเกินไป มีค่ายกลปลิวว่อนอยู่ทุกที่ หากประมาทเพียงนิดเดียว ชีวิตอาจจะต้องจบลงที่นี่
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยกหางขึ้นสะบัดกู้ชูหน่วนและอีกสองคนไปทางหนามไม้ขนาดเล็ก
วิชาตัวเบาของทั้งสามล้วนล้ำเลิศ ต่อให้หนามไม้จะเล็กแค่ไหนหรืออยู่ไกลแค่ไหน พวกเขาก็ยังยืนอยู่ได้
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หดตัวลงและกลับไปพันอยู่รอบข้อมือของกู้ชูหน่วนอย่างเฉลียวฉลาด
กลัวว่าจะต้องพบเจอกับอันตรายอีก
เมื่อกู้ชูหน่วนและอีกสองคนยืนอย่างมั่นคง ทันใดนั้นพายุหมุนก็พัดเข้ามาพร้อมกับกริชแหลมคมนับไม่ถ้วน
เยี่ยจิ่งหานกับจอมมารใช้กำลังภายในสร้างเกราะกำบังขึ้นมาพร้อมกันเพื่อบังกู้ชูหน่วนเอาไว้
ไม่รู้ว่ามีดพวกนี้ทำมาจากอะไรถึงได้คมและรุนแรงขนาดนี้ เมื่อมีดนับพันนับหมื่นเล่มมารวมตัวกันยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลานุภาพที่จะเจาะเกราะกำบัง
จอมมารสบถ “บัดซบ นี่มันค่ายกลมีดสั้นอะไรกัน พลานุภาพรุนแรงเหลือเกิน”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หดคอ มันบอกแล้วว่าบนนี้อันตรายมาก เป็นนายท่านเองที่อยากจะขึ้นมาให้ได้
เยี่ยจิ่งหานยิ้มเยาะ “ถ้าเจ้าไม่ไหวก็รีบไสหัวไปแต่เนิ่นๆ”
“ใครบอกว่าข้าไม่ไหว”
ไม่รู้ว่าเพราะถูกยั่วโมโหหรือเปล่า จอมมารยกมือขวาขึ้นมาและรวบรวมกำลังภายในทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนไหวของนิ้ว ทันใดนั้นดอกลำโพงสีสวยสดที่บานสะพรั่งก็กลายเป็นหัวกะโหลกกัดมีดสั้นจนเกิดเสียงดัง
มีดคมเหล่านั้นแข็งแกร่งมากจนฟันที่แหลมคมของโครงกระดูกถูกกร่อนไปจำนวนมาก
มีดเหล่านี้ถูกกัดไปมาก แต่สีหน้าของกู้ชูหน่วนและพวกเขาทั้งคู่กลับไม่ได้ดีขึ้นเลย มีแต่จะเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
มีดคมพุ่งเข้ามาเหมือนห่าฝนที่ไม่มีวันสิ้นสุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องหมดแรงเป็นแน่
ที่ด้านล่าง มีร่างเงาของใครอีกหลายคนกำลังปีนหนามไม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กู้ชูหน่วนก้มลงมองและเห็นว่าพวกที่กำลังปีนขึ้นมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนของเผ่าเพลิงฟ้า
รอยยิ้มผลิบานขึ้นบนริมฝีปากสีแดงสดของนาง
นางรวบรวมกำลังภายในไว้ที่ฝ่ามือ ทันใดนั้นก็ตะโกนว่า “ไข่มุกมังกร มันคือไข่มุกมังกรจริงๆ ด้วยอาม่อ เร็วเข้า ทำลายค่ายกลมีดสั้นซะ อย่าปล่อยให้คนอื่นชิงไข่มุกมังกรไปได้”
“มีไข่มุกมังกรอยู่ในค่ายกลมีดสั้นงั้นหรือ”
เหตุใดเขาจึงไม่เห็นอะไรเลย
จอมมารยังคงสงสัย
เยี่ยจิ่งหานมองเห็นแผนการในแววตาของกู้ชูหน่วน ทันใดนั้นก็เข้าใจบางอย่างได้ทันที
เมื่อคนของเผ่าเพลิงฟ้าได้ยินคำว่าไข่มุกมังกร การเคลื่อนไหวของพวกนั้นก็ยิ่งเร็วขึ้น
ผู้อาวุโสสองคนถลันขึ้นมาโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น พวกเขารีบรุดมาที่ค่ายกลมีดสั้นเพื่อหาไข่มุกมังกร
เหวินเส่าอี๋ตะโกนว่า “ระวังกับดัก”
ยังพูดไม่ทันจบ ผู้อาวุโสทั้งสองก็เร่งรุดไปแล้ว สายเกินไปที่เหวินเส่าอี๋จะหยุดพวกเขา
เกือบจะในเวลาเดียวกัน กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานเพิกถอนกำลังภายในและหันค่ายกลมีดสั้นไปทางเผ่าเพลิงฟ้า
หลังจากเพิกถอนกำลังภายใน กู้ชูหน่วนก็คว้าเสื้อของจอมมารขึ้นมา “เจ้ามัวทำบื้ออะไรอยู่ เร็วเข้า”
สวบๆๆๆ
ถ้าพวกเขาไม่วิ่งหนีให้เร็ว มีดของค่ายกลมีดสั้นจะต้องเจาะทะลวงพวกเขาจนกลายเป็นละอองเลือดแน่
ผู้อาวุโสสองคนของเผ่าเพลิงฟ้าบุกทะลวงเข้ามาอยู่ท่ามกลางค่ายกลมีดสั้น และพวกเขาก็ถูกมีดคมนับหมื่นนับพันเล่มแทงจนตาย
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าเพลิงฟ้าคำรามอย่างโกรธแค้น “ไอ้คนชั่ว พวกเจ้าบังอาจมาฆ่าผู้อาวุโสแห่งเผ่าเพลิงฟ้าของพวกข้า พวกข้าเผ่าเพลิงฟ้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
กู้ชูหน่วนและอีกสองคนยังคงปีนขึ้นไปด้านบนด้วยหนามไม้ขนาดเล็ก พยายามหลีกเลี่ยงมีดที่โผล่ออกมาอย่างเต็มที่
พร้อมกันนั้นก็ยิ้มเยาะ “แทนที่จะมาขู่ข้าที่นี่ สู้คิดหาวิธีทำลายค่ายกลมีดสั้นนั่นจะดีกว่า”
ผู้อาวุโสของเผ่าเพลิงฟ้าโกรธจนอกแทบระเบิด แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องร่วมแรงกันจัดการกับค่ายกลมีดสั้น เฝ้ามองแผ่นหลังของพวกนั้นด้วยความเกลียดชัง
จอมมารกล่าวว่า “พี่หญิง ท่านเอาพวกเผ่าเพลิงฟ้ามารับมีดงั้นหรือ”
“ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยรึ หรือว่าทำใจไม่ได้? ถ้าทำใจไม่ได้เจ้าก็ไปช่วยพวกนั้นเสียสิ ข้าไม่ได้ห้ามเจ้าเสียหน่อย”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ศัตรูของพี่หญิงก็คือศัตรูของอาม่อ”
เยี่ยจิ่งหานกล่าวว่า “ข้างหน้ามีถ้ำอยู่ด้วย ข้าจะเข้าไปดูก่อน”
ทุกคนเงยหน้ามองและเห็นว่ามีถ้ำเล็กๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ถ้ำนั้นเล็กมากจนอาจจะรองรับคนได้แค่คนเดียวเท่านั้น
“ที่คูน้ำและหน้าผาสูงชันเช่นนี้จะมีถ้ำได้อย่างไร เกรงว่าข้างในน่าจะอันตรายมาก”