กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 672
ในทางเดินขนาดราวกับลำไส้ของแกะของป่ารกทึบในหุบเขาลึก มีรถม้าวิ่งควบอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทำให้เกิดฝุ่นควันเป็นลูกคลื่น
ผู้ที่กำลังเดินทางอย่างรวดเร็วคือชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง เขาฟาดแส้ไปบนขาหลังของม้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพยายามทำให้ม้าไปได้เร็วที่สุด
บริเวณโดยรอบของรถม้าเต็มไปด้วยยอดฝีมือของเผ่าหยกที่ขี่ม้าบึกบึน โดยมีอายุต่างกันและแต่งกายต่างกันออกไป พวกเขามีดวงตาที่เยือกเย็นและมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นคือ เพื่อปกป้องผู้คนบนรถม้า
ภายนอกรถม้ามีศพที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ศพเหล่านี้มีทั้งเผ่าเพลิงฟ้า เผ่าหยกและมีลูกศิษย์ของสำนักนิกายอื่นๆ อยู่ด้วย กลิ่นคาวเลือดได้คละคลุ้งไปทั่วทั้งหุบเขา
ภายในรถม้า กู้ชูหน่วนจดจ่อกับการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเยี่ยจิ่งหาน นางขมวดคิ้วและมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากด้วยความเคร่งเครียดอย่างมาก
เสี่ยวลู่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ และมักช่วยเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้กู้ชูหน่วนอยู่บ่อยครั้ง
ในที่สุดกู้ชูหน่วนก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นล้างมือที่เต็มไปด้วยรอยเลือดอย่างอ่อนล้าและพิงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงไปที่รถม้า
ดูเหมือนเจี้ยงเสวี่ยที่กำลังเร่งรีบอยู่นั้นจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวภายในรถม้า จากนั้นจึงรีบถามว่า “พระชายา นายท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ? พ้นจากอันตรายแล้วหรือไม่ขอรับ?”
“ช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว แต่ยังต้องรอดูว่าเขาจะฟื้นกลับมาได้หรือไม่”
เสียงของกู้ชูหน่วนแหบแห้ง และดวงตาคู่หนึ่งที่เหนื่อยล้าก็จับจ้องอยู่ที่หลังใบหูของเยี่ยจิ่งหาน
ตรงนั้นมีเครื่องหมายเฉพาะของคนของเผ่าหยกที่ถูกคำสาปโลหิต เพียงแค่เครื่องหมายนี้ปรากฏขึ้น คำสาปโลหิตจะเริ่มออกฤทธิ์กำเริบขึ้น
หลังจากผ่านไปยี่สิบปีที่เขาได้ทนทุกข์ทรมานอย่างมากในการหยุดยั้งคำสาปโลหิตและเขายังต้องพิการมานานกว่าสิบปี ตอนนี้คำสาปโลหิตยังคงกำเริบออกฤทธิ์ออกมาเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส
เมื่อนึกถึงเยี่ยจิ่งหานอาจจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากอาการออกฤทธิ์ของคำสาปโลหิตเช่นเดียวกับประชาชนของเผ่าหยกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในสนามรบทีละคนปกป้อง เพื่อใช้เลือดเนื้อของตัวเองในการปกป้องไข่มุกมังกรด้วยกันกับนาง กู้ชูหน่วนจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากและหวังเพียงรีบกำจัดคำสาปโลหิตนี้ไปให้ได้
เสี่ยวลู่ทำลายความนึกถึงของกู้ชูหน่วนและถามอย่างลังเลว่า “นายท่าน ประเดี๋ยวจะถึงทางเข้าของเผ่าหยกแล้ว จะทำเช่นไรกับพวกเขาดี?”
กู้ชูหน่วนเปิดม่านรถม้าออกและมองไปที่พื้นที่เต็มไปด้วยศพ จากนั้นกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “เข้าไปยังเผ่าหยกด้วยกัน”
เสี่ยวลู่ตกใจอย่างมาก “นายท่าน เผ่าหยกไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปและไม่เคยทำผิดกฎนี้เลยมาตลอดร้อยพันปีที่ผ่านมา”
“กฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น ในเมื่อข้าเป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก เช่นนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎนี้”
“เกรงว่าผู้อาวุโสคนอื่นจะไม่เห็นด้วย”
“หรือต้องทิ้งเยี่ยจิ่งหานและเจี้ยงเสวี่ยไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
ภายนอกล้วนแล้วแต่มีคนจ้องจะแย่งชิงไข่มุกมังกร หากทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่ก็เท่ากับปล่อยให้พวกเขาตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เผ่าเพลิงฟ้าที่สมควรตาย พวกเขามาเพื่อแย่งชิงไข่มุกมังกรก็แย่แล้ว แถมยังปล่อยข่าวออกไปให้สำนักและนิกายอื่นๆ ต่างพากันมาแย่งชิง
“เช่นนั้นข้าน้อยจะส่งคนคุ้มกันพวกเขากลับไป เช่นนี้ดีหรือไม่?”
“คนที่ต้องการให้เยี่ยจิ่งหานตายไปมีเยอะมากมายเหลือเกิน ข้ากลัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น”
กู้ชูหน่วนมองไปยังเสี่ยวลู่อย่างสงสัย
นางไม่เคยขัดคำสั่งของนางเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าชีวิตนางจะเคยได้รับความเสี่ยง แต่ก็ไม่เคยสงสัยเลย แต่เหตุใดครั้งนี้นางถึงพยายามจะห้ามให้นางพาเยี่ยจิ่งหานกลับไปยังเผ่าหยก?
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบที่เยี่ยจิ่งหานจะไปที่เผ่าหยก?”
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยเพียงแค่กังวลว่าผู้อาวุโสจะโกรธ นายท่าน ท่านเป็นหัวหน้าเผ่าหยก หากท่านต้องการทำผิดกฎและพาคนนอกเข้าไปยังเผ่าหยกก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรท่าน ยกเว้นเพียงหานอ๋องเท่านั้นที่ห้ามพาเข้าไป”
“เหตุใดถึงพาเขาเข้าไปไม่ได้? หรือเหตุผลเป็นเพราะพระสนมอวี้?”
“เอ่อ…ข้าน้อยก็ไม่รู้อะไรมากนัก แต่คนของเผ่าหยกทุกคนล้วนไม่ยินดีต้อนรับหานอ๋อง รวมไปถึงข้าน้อยด้วย ข้าน้อยก็ไม่ชอบเขา”
เสี่ยวลู่หันหน้าไปทางอื่นและดูเหมือนยังมีคำพูดที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา
กู้ชูหน่วนรู้สึกสับสนอย่างมาก เป็นเลือดเนื้อของพระสนมอวี้เช่นเดียวกัน แต่เหตุใดเผ่าหยกถึงเกลียดแค้นเยี่ยจิ่งหานมากมายเช่นนี้นะ?
คงไม่ใช่เป็นเพราะนางคือธิดาศักดิ์สิทธิ์หรอกกระมัง?
ไม่ เรื่องนี้จะต้องมีอะไรแน่ๆ
“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่า ข้าเป็นคนตัดสินเอง พาเยี่ยจิ่งหานและเจี้ยงเสวี่ยไปยังเผ่าหยกด้วยกัน”
คำพูดที่เย็นชาของกู้ชูหน่วนไม่แม้แต่จะมีการปรึกษาพูดคุย
มุมปากของเสี่ยวลู่ขยับเล็กน้อยและหยุดพูดไปด้วยความหงุดหงิด
รถม้ายังคงเดินทางอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปข้างหน้ากลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งฟุ้งกระจายและกลิ่นรุนแรงขึ้น
ในเส้นทางก่อนหน้านี้ มีคนของพวกเขาคอยสอดส่องไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว และตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศัตรูมีมากเกินไปหรืออะไร คนของพวกเขาจึงไม่สามารถคอยสอดส่องก่อนที่พวกเขาจะไปถึง จากนั้นเสียงการต่อสู้ก็ดังตามมา
ยอดฝีมือของเผ่าหยกที่คอยปกป้องคุ้มครองกู้ชูหน่วนอยู่รอบๆ รถม้าก็ลดลงเรื่อยๆ ตลอดทาง คาดว่าต่างก็ยอมสกัดอยู่ข้างหลังเสียสละชีวิตเพื่อนาง
“อวี้ (เสียงม้าร้อง)….”
เจี้ยงเสวี่ยดึงบังเหียนรถม้าอย่างกะทันหันและเกือบทำให้รถม้าพลิกคว่ำกลางอากาศ
กู้ชูหน่วนยกม่านของรถม้าขึ้นและภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายชราแปดคนของเผ่าเพลิงฟ้า ชายชราทั้งแปดคนนี้อายุราวๆ หกสิบกว่าปี แปดแค่ยืนอยู่ตรงนั้นรัศมีความสูงส่งและความอาฆาตก็ปรากฏจนทำให้พวกเขาแทบไม่กล้ามองตรงๆ
ยังไม่ทันจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ กู้ชูหน่วนก็รับรู้ได้ว่าทั้งแปดคนนี้ต้องมีตำแหน่งไม่ธรรมดาอย่างมากในเผ่าเพลิงฟ้า
“นายท่าน ท่านเดินทางไปก่อน พวกข้าจะสกัดข้างหลังเอง”
ไม่รอให้กู้ชูหน่วนพูด ผู้อาวุโสรอบกายของกู้ชูหน่วนก็พุ่งออกไปต่อสู้เพื่อยื้อเวลาอันมีค่าให้กับกู้ชูหน่วน
หากต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งก็ยังพอรับได้ แต่ฝั่งกู้ชูหน่วนเหลือผู้อาวุโสอยู่เพียงห้าคนเท่านั้น อีกฝ่ายกลับมีถึงแปดคน หากทำการต่อสู้ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ดวงตาของเจี้ยงเสวี่ยหยุดนิ่งและหันเปลี่ยนทิศทางควบม้าพุ่งเข้าไป
เสี่ยวลู่หยิบแส้อ่อนและคอยปกป้องกู้ชูหน่วนอยู่ข้างหน้า และยิงอาวุธลับที่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ออกไป
พวกเขาเคยคิดไว้ว่าการคุ้มกันไข่มุกมังกรกลับไปยังเผ่าหยกนั้นยากลำบากมาก แต่ไม่คิดว่าจะยากลำบากเช่นนี้
แม้แต่เจี้ยงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่าออกมา “สมควรตาย ใครกันนะที่เป็นคนแพร่ข่าวเบาะแสของไข่มุกมังกรออกไป จึงทำให้ทุกสำนักและนิกายต่างพากันมาแย่งชิง หากข้ารู้ละก็ เช่นนั้นข้าจะจัดการจนไม่สามารถมีลูกหลานสืบทอดตระกูลได้อีกเลย”
ปกตินั้นเจี้ยงเสวี่ยพูดน้อยมากและไม่เคยระเบิดอารมณ์ความหยาบคายเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เขาโมโหอย่างมาก จึงทำให้พูดคำหยาบคายออกมาไม่หยุด
“ทางข้างหน้ามีกลิ่นอายของการรอยสังหาร และมีคนจำนวนมากอีกด้วย”
จู่ๆ กู้ชูหน่วนก็พูดแทรกขัดจังหวะคำหยาบของเจี้ยงเสวี่ยขึ้นมา
หัวใจของเสี่ยวลู่และเจี้ยงเสวี่ยหยุดนิ่ง เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้?
“เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง?” เจี้ยงเสวี่ยถาม
“หากตรงไปจะเป็นทางกลับเผ่าหยกที่ใกล้กว่านี้ หากต้องอ้อมอีก คงต้องอ้อมอีกนานและไม่สามารถอ้อมได้ต่อไปแล้ว บุกไปเลยเถอะ” กู้ชูหน่วนชักดาบอ่อนออกมาและเตรียมสู้รบครั้งใหญ่อีกครั้ง
เสี่ยวลู่กล่าวด้วยความลังเล “เส้นทางไปเผ่าหยกนอกจากคนของพวกเราแล้ว ไม่มีใครรู้ได้ เช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้จะซุ่มโจมตีไปถึงเผ่าหยกได้อย่างไร?”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่นางสงสัยเช่นกัน
หากไม่ใช่เป็นเพราะเผ่าหยกมีคนคิดคดทรยศหักหลัง เช่นนั้นก็คงเป็นตอนที่พวกเขากลับเผ่าหยกและถูกคนสะกดรอยตาม
“ไข่มุกมังกรอยู่ที่พวกเขา ทุกคนรีบไปแย่งชิงมาสิ”
ไม่รู้ว่าเสียงใครตะโกนดังมาจากที่ไหน จากนั้นก็มีคนพุ่งจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทุกทางและปิดล้อมรถม้าเอาไว้อย่างหนาแน่น
เสี่ยวลู่เห็นเข้าก็รู้สึกขนหัวลุก
คนเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีฝีมือมากน้อยเพียงใด การแต่งกายก็แปลกแตกต่างกันออกไปและดูลายตาไปหมด
เดิมทีคนเหล่านั้นไม่ได้น่ากลัวเลย แต่สิ่งที่เอาชนะได้ก็คือพวกเขามีจำนวนคนเยอะเหลือเกิน
เสี่ยวลู่ฟาดแส้ออกไปทำให้คนจำนวนหนึ่งล้มลง จากนั้นคนที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งตรงเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เหมือนกับทหารนับหมื่นนับพันในสนามรบ
“ชิวๆๆ……”
และยังมีคนจำนวนมากที่ยิงธนูใส่รถม้า เพื่อพยายามให้รถม้าหยุดลง
กำลังภายในของกู้ชูหน่วนส่งผ่านไปยังดาบ แต่ละดาบที่ฟันลงไปก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากล้มลง ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดลงไปแล้วจำนวนหนึ่ง ไม่นานก็มีคนกลุ่มใหม่วิ่งพุ่งเข้ามาและปิดล้อมพวกเขาอีกครั้ง
การต่อสู้ที่วนเวียนเป็นล้อเกวียนเช่นนี้ นับว่าไม่ดีกับพวกเขาเอาเสียเลย
ในขณะที่พวกเขาถูกปิดล้อมอยู่นั้น ดอกลำโพงบานสะพรั่งจากระยะไกลออกไปก็ปรากฏขึ้น ดอกลำโพงหลากสีสันที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ เดิมทีเป็นดอกไม้ที่พบเห็นได้ในงานเฉลิมฉลอง แต่พวกเขากลับกลายเป็นโครงกระดูกกระหายเลือดและอ้าปากรอเลือด ตลอดระยะทางที่ผ่านมีคนจำนวนมากล้วนถูกกัดกินโดยโครงกระดูกโดยไม่เหลือแม้แต่ซากและหลงเหลือเพียงเศษคราบเลือดเท่านั้น
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เดิมทีดอกลำโพงมีเพียงเถาวัลย์เดียวเท่านั้น แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นเถาวัลย์นับสิบด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า