“ผู้อาวุโสไท่ซั่ง ท่านยังคงปกป้องเส้นทางหลบหนีสำรองอยู่หรือไม่?”
คำว่าเส้นทางหลบหนี ทำให้ผู้อาวุโสของเผ่าหยกต่างพากันไม่สบายใจ
ผู้อาวุโสไท่ซั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวออกมาเสียงดัง “ไป๋เฉ่า ผู้อาวุโสเจ็ด ผู้อาวุโสสิบ พวกท่านแบ่งออกเป็นสามเส้นทางและรีบไปจัดการให้คนในเผ่าหลบหนีออกไปจากเส้นทางลับ”
“อืม แต่ว่าเส้นทางลับอยู่ที่ไหนหรือ?”
เมื่อผู้อาวุโสไท่ซั่งยกมือขวาขึ้นก็มีแผนที่ปรากฏขึ้นในมือของไป๋เฉ่า
ผู้อาวุโสทุกคนต่างรับคำสั่งและพากันออกไป
จากนั้นผู้อาวุโสไท่ซั่งก็ลุกขึ้นทันที “เขตอาคมที่สามยังคงไม่สามารถกำจัดทำลายได้ ต่อให้ฝีมือสูงสุดระดับเจ็ดก็ไม่สามารถทำลายได้ อีกทั้งเผ่าเพลิงฟ้าก็ไม่สามารถมีคนที่มีความสามารถยอดฝีมือระดับสูงสุดมากกว่าระดับเจ็ดได้ นอกเสียจากมีคนยับยั้งไข่มุกหยกภายในเผ่าหยกเป็นการส่วนตัว”
ในขณะที่ผู้อาวุโสไท่ซั่งพูดถึงคำว่าเป็นการส่วนตัว รัศมีของการอาฆาตก็แผ่ออกมา
นั่นถือเป็นการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของผู้แข็งแกร่ง แม้ว่าทุกคนในที่นี้จะมีพละกำลังความสามารถที่ไม่เลว แต่ก็ถูกกดขี่เสียจนอดไม่ได้ที่จะลงไปดิ้นลงกับพื้น
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกตึงเครียดขึ้นในใจ “ไข่มุกหยกมีความสำคัญมากเพียงใด เหตุใดผู้อาวุโสในเผ่าถึงไม่สามารถแตะต้องสัมผัสได้และคนในเผ่าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าไข่มุกหยกอยู่ที่ไหน ใครจะไปแตะต้องไข่มุกหยกหรือ ข้าจะไปดูว่าไข่มุกหยกยังอยู่หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นหรอก”
ผู้อาวุโสไท่ซั่งดูดกระจกจากฝ่ามือขวาขึ้นและไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับกระจก จากนั้นภายในกระจกก็ปรากฏเป็นภาพเขตอาคมที่สามของไข่มุกหยกขึ้น
ไข่มุกหยกยังคงอยู่ที่นั่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกขยับเคลื่อนย้ายหรือไม่และไม่ได้ติดอยู่บนร่อง
สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนไป
เหตุใดไข่มุกหยกถึงไม่ได้อยู่บนร่องหินล่ะ?
ไข่มุกหยดเม็ดนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนในเผ่าหยก เช่นนั้นก็ไม่ควรมีใครไปแตะต้องได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ
กู้ชูหน่วนไม่ค่อยเข้าใจถึงประโยชน์ของไข่มุกหยกเท่าไรนัก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันตึงเครียด นางจึงรู้ว่าไข่มุกหยกเม็ดนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างมากกับเผ่าหยกแน่นอน
สิ่งที่ทำให้นางตกใจมากคือ ผู้อาวุโสไท่ซั่งสามารถใช้พลังความคิดของเขาและปรากฏตำแหน่งที่ตั้งของไข่มุกหยกออกมาได้
เช่นนี้แล้วต้องมีความสามารถมากมายเพียงใดถึงจะทำเช่นนี้ได้
“ใคร ใครเป็นคนไปแตะต้องไข่มุกหยก”
โดยปกติแล้วผู้อาวุโสไท่ซั่งเป็นคนที่มีอารมณ์ดีมาตลอด แต่ในเวลานี้เขาโกรธจัดและดวงตาคู่นั้นแทบจะยิงทะลุผู้คน
ผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันไปมาและพากันสงสัย
มีเพียงผู้อาวุโสสองเท่านั้นที่ปรากฏอาการตื่นตระหนกออกมา
อาการตื่นตระหนกของเขาถูกกู้ชูหน่วนและผู้อาวุโสไท่ซั่งจับจ้องไว้ในสายตาแล้ว
ผู้อาวุโสไท่ซั่งทุบโต๊ะและกล่าวอย่างโกรธเคือง “ผู้อาวุโสสอง เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสสองตัวสั่นเทาและต้องการปฏิเสธ
แต่ผู้อาวุโสไท่ซั่งกล่าวขึ้นก่อน “หากท่านกล้าโกหก กฎของเผ่าหยก ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น”
ผู้อาวุโสสองคุกเข่าลงทันทีด้วยความตื่นตระหนกและพูดออกมาด้วยความประหม่า “ผู้อาวุโสไท่ซั่ง หัวหน้าเผ่า ข้า……ข้าไม่ได้ตั้งใจ เป็น……เป็นเยี่ยจิ่งหานหลบหนีไปได้ เหมือนว่าเหวินเส่าอี๋……ข้าคิดว่าพวกเขาเปิดเขตอาคมหลบหนีออกไป ฉะนั้นข้าจึงเปิดเขตอาคมที่สามออกไปดู หลังจากนั้นก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เปิดเขตอาคม จากนั้นข้าจึงรีบนำไข่มุกหยก……”
“ตุ่บ……”
ผู้อาวุโสไท่ซั่งตบออกไปหนึ่งที ทำให้ร่างกายของผู้อาวุโสสองกระเด็นออกไปและมีเลือดกระอักไหลออกมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“สารเลว ข้าเป็นคนปล่อยเยี่ยจิ่งหานออกไปเอง เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ส่วนเหวินเส่าอี๋ถูกปล่อยไปยังเหวไร้ที่สิ้นสุด เจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
“ข้า……ข้า……”
เขาเพิ่งจะรู้ทีหลังจริงๆ ตอนแรกมีคนบอกเขาว่าเยี่ยจิ่งหานหลบหนีออกไปและหัวหน้าเผ่าก็ต้องการปล่อยเหวินเส่าอี๋ออกไป เขาจึง……
ผู้อาวุโสสองรู้สึกเสียใจ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรสงสัยในหัวหน้าเผ่า ตอนนี้ควรทำเช่นไร……ยังมีเขตอาคมที่สี่อีกหรือไม่?”
“เผ่าหยกมีเขตอาคมที่สี่หรือไม่ ท่านไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสไท่ซั่งเท่านั้นต้องการฆ่าผู้อาวุโสสอง แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดและคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
เพราะความสงสัยของเขาทำให้คนในเผ่าหยกทั้งหยดต้องเดือดร้อน
กู้ชูหน่วนหัวเราะอย่างเย็นชา
สงสัยนาง?
เอ่อ……
ผู้อาวุโสไท่ซั่งกล่าวว่า “ประชาชนในเผ่าต่างถอยกันไปหมดแล้วหรือไม่? ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่าน……ท่านหัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสทุกท่าน สถานการณ์ไม่ดีนัก ตอนที่ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งและไป๋เฉ่าไปบอกให้ประชาชนแยกย้าย ได้ประสบกับการโจมตีอย่างหนักของเผ่าเพลิงฟ้า ทำให้เส้นทางระหว่างเราและประชาชนได้ถูกตัดทางลงแล้ว”
“อะไรนะ ถูกตัดทางลงแล้ว?”
หากเส้นทางถูกตัดขาดลง เช่นนั้นแล้วประชาชนในเผ่าของเผ่าหยกทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างนั้นหรือ?
พวกเขาเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดาที่มีเพียงสองมือเปล่าเท่านั้น
กู้ชูหน่วนลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “รู้หรือไม่ว่าเผ่าเพลิงฟ้ามากันกี่คน?”
“เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีผู้อาวุโสสูงสุดจำนวนสี่คนและยังมีผู้อาวุโสคนอื่นและลูกศิษย์จำนวนมาก ผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านั้นล้วนมีฝีมือระดับสูงสุดระดับหกด้วยกันทั้งนั้น”
แต่พวกเขาที่นี่มีเพียงผู้อาวุโสไท่ซั่งและผู้อาวุโสสูงสุดที่มีฝีมือระดับสูงสุดระดับหกเท่านั้น ผู้อาวุโสสูงสุดได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถมีแรงต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว
“ในเมื่อมาถึงแล้ว เช่นนั้นเราก็ปิดประตูต่อสู้และให้พวกเขาต้องจบชีวิตลงที่นี่ ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าน้อยขอออกรบในแนวหน้า เพื่อจะได้จัดการกับพวกเขาเสียหน่อย”
“ต่อสู้อย่างแน่นอน แต่ศัตรูมีความแข็งแกร่ง แต่เรากลับอ่อนแอ อีกทั้งในเผ่าก็มีประชาชนคนธรรมดาเป็นจำนวนมาก หากฝืนต่อสู้ต่อไปคงไม่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างตั้งใจฟังในสิ่งที่กู้ชูหน่วนสั่งการออกมาหลังจากนั้น
กู้ชูหน่วนกวาดสายตาไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ หลังจากเข้าใจจำนวนคนของเผ่าเพลิงฟ้าและตำแหน่งที่ตั้งทั้งหมดอย่างละเอียดดีแล้วก็ได้ทำการแสดงคำสั่งบนโต๊ะทราย (แบบจำลองสภาพภูมิศาสตร์) อย่างละเอียด
“เผ่าเพลิงฟ้าได้ตัดหัวและท้ายของพวกเราไปแล้ว เหตุใดเราถึงไม่ทำการหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ที่นี่ยังมีค่ายกลหรือไม่? ปล่อยให้เผ่าเพลิงฟ้าบุกเข้ามาก่อน จากนั้นค่อยตัดพวกเขาจากที่นี่ หลังจากนั้นค่อยปิดล้อมพวกเขาที่มาทีหลังจากที่นี่”
“เผ่าเพลิงฟ้าเคลื่อนย้ายยอดฝีมือมาจู่โจมเผ่าหยกเป็นจำนวนมากและทำลายเขตอาคมของเผ่าหยกไปมากมาย ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าของเขาจะต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน หากข้าคาดเดาไม่คิดละก็ อย่างน้อยผู้ที่อยู่ในแนวหน้าจะต้องมีผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเพลิงฟ้าจำนวนสามคน ยอดฝีมือสูงสุดระดับหกสามคน หากพวกเราต้องการฆ่าพวกเขาละก็ ช่างเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก ฉะนั้นพวกเราจะไม่ฆ่า เพียงแค่กักขังพวกเขาไว้และพยายามยื้อเวลาให้ได้มากที่สุด”
“ผู้ที่มาสมทบทีหลังนั้นจะต้องมียอดฝีมือหนึ่งคน หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้จะต้องเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ เราจะใช้ค่ายกลเพื่อให้พวกเขาที่มาทีหลังแตกแยกกันและรวบรวมพลังเอาไว้ จากนั้นจัดการผู้อาวุโสสูงสุดที่มาทีหลังเสีย จากนั้นจึงค่อยไปจัดการผู้อาวุโสคนอื่น”
กู้ชูหน่วนยืนอยู่ที่หัวโต๊ะทรายเพื่อออกคำสั่งทีละขั้นตอน รัศมีแห่งความเป็นผู้นำของนางแผ่ซ่านออกมา
ผู้อาวุโสไทซั่งและผู้อาวุโสสูงสุดต่างพากันปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่านางจะสูญเสียความทรงจำ แต่ก็ยังคงเป็นหัวหน้าเผ่ายอดอัจฉริยะของพวกเขา
ท่าทางที่ไร้ความเกรงกลัวเมื่อต้องเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ ช่างทำให้คนอื่นรู้สึกละอายใจอย่างมาก
ผู้อาวุโสห้ากล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วพวกเราต้องใช้ค่ายกลอะไรหรือ”
กู้ชูหน่วนกวักมือและให้พวกเขาขยับเข้าไปใกล้
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันเงี่ยหูเข้าไป แม้แต่ผู้อาวุโสไทซั่งก็อดไม่ได้ที่จะทำตาม
ผู้อาวุโสสองก็อยากเงี่ยหูฟัง แต่กลับถูกทุกคนพากันจ้องมองด้วยตาเขม็ง จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ออกไปและมองดูทุกคนฟังที่กู้ชูหน่วนพูดกระซิบอย่างรู้สึกลำบากใจ ทุกคนต่างพากันทำสีหน้าตกใจและชื่นชม
เขายังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของกู้ชูหน่วน
และไม่รู้ว่าพวกเขาคิดแผนการอะไรออกมาเพื่อจัดการกับคนของเผ่าเพลิงฟ้า
“ข้าน้อยรับทราบและจะรีบไปปฏิบัติตามคำสั่งของท่านหัวหน้าเผ่า”
เพียงชั่วพริบตา ผู้อาวุโสทั้งหลายที่อยู่กันเป็นจำนวนมากก็ต่างพากันแยกย้ายออกไป และเหลือเพียงผู้อาวุโสไท่ซั่งและกู้ชูหน่วนสองคนเท่านั้น
ผู้อาวุโสสองรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าตัวเองควรออกไปหรือควรอยู่ต่อดี
“ท่านหัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสไท่ซั่ง ข้า……”
“ให้โอกาสท่านชดเชยต่อความล้มเหลวและจัดการกับผู้อาวุโสของเผ่าเพลิงฟ้าสามคน เพื่อให้ท่านชดเชยกับสิ่งที่ผิดพลาดไป” กู้ชูหน่วนกล่าว
ผู้อาวุโสสองรู้สึกดีใจ “จริงหรือ?”
“อืม”
“ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะจัดการผู้อาวุโสทั้งสามคนของเผ่าเพลิงฟ้านั่นเสียให้ได้”
ผู้อาวุโสสองกัดฟัน กำหมัดและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซั่งก็ถอนหายใจ “ท่านรู้ว่าเขาถูกหลอกใช้ เหตุใดถึงยังปล่อยเขาไป”
“ไม่วางแผนระยะยาว เช่นนั้นจะได้ปลาตัวใหญ่ได้อย่างไรล่ะ”
ผู้อาวุโสไท่ซั่งยิ้มออกมาทันที เจ้าวายร้ายตัวน้อยคนนี้
“ผู้อาวุโสไท่ซั่ง ข้าต้องการทำลายผนึกและฟื้นฟูพละกำลังความสามารถ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่?”