ลู่เจียวพูดจบก็วางถ้วยเปล่าลงแล้วเดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองส่งนางเดินไป ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด
เพราะเซี่ยเอ้อร์จู้ไม่มา ลู่เจียวกลัวว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากทำธุระส่วนตัวตอนกลางดึก ฉะนั้นเลยเอาเสื่อมาปูนอนในห้องของเขา
ครั้งนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นและแฝดสี่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถือว่าเป็นการยินยอมให้นางทำเช่นนี้
ลู่เจียวนอนลง หนังตาก็ตกลง เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
ทว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงดูเหมือนจะนอนไม่หลับ คอยขยับตัวตลอดเวลา จนลู่เจียวที่นอนบนพื้นอดถามไม่ได้
“เจ้ากระหายน้ำหรือ”
“เปล่า”
“แล้วหิวหรือไม่”
“เห็นข้าเป็นสุกรหรือไร”
“แล้วเจ้าจะขยับตัวไปไย”
“ข้าขยับตัวแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ลู่เจียวไม่อยากสนใจบุรุษบนเตียง กำลังจะหลับตานอน สุดท้ายก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นขยับตัวเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเขาอยากชิ้งฉ่องแต่ไม่กล้าพูดหรือเปล่า
นางหันไปมองบุรุษบนเตียงอย่างรวดเร็ว “เจ้าคงไม่ใช่ว่าอยากชิ้งฉ่อง แต่ไม่กล้าบอกนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่า ‘ชิ้งฉ่อง’ หมายถึงอะไรแล้ว อันที่จริงเขาก็อยากฉี่จริงๆ แต่ไม่กล้าบอกลู่เจียว ดังนั้นถึงได้พลิกตัวไปมานอนไม่หลับเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ตอบกลับ ลู่เจียวก็รู้ว่าเขาต้องอยากฉี่แน่นอน จึงเบ้ปากอย่างหมดคำบรรยาย ชายผู้นี้ดื้อด้านจริงๆ แค่บอกว่าชิ้งฉ่องแล้วจะตายหรือ เหตุใดถึงดื้อด้านขนาดนี้
ลู่เจียวครุ่นคิดและลุกขึ้นจากเตียงด้วยความง่วงงุน ก้มลงไปยกโถปัสสาวะที่ข้างเตียง มือกำลังจะยื่นไปถอดชุดชั้นในของเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เขาชักสีหน้า ยื่นมือจับเสื้อผ้าตัวเองไว้แล้วถลึงตามองลู่เจียวด้วยความดุดัน พูดด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะทำอะไร”
ลู่เจียวมองเขาด้วยความสงสัย “ให้เจ้าชิ้งฉ่องอย่างไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปั้นหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว “เจ้าเอาโถมาให้ข้า ข้าถ่ายเอง”
ลู่เจียวมองคนบนเตียงด้วยความจนปัญญา ใบหน้าหล่อเหลานั้นสุขุมเยือกเย็น ดวงตาดำสนิทจ้องมองนางราวกับว่านางเป็นอันธพาลที่กำลังกลั่นแกล้งกุลสตรีในตระกูลสูงส่ง
ลู่เจียวกลอกตามองบน รักนวลสงวนตัวขนาดนี้เชียว นึกว่าตัวเองเป็นแผ่นแป้งอบหรือไร คิดว่าข้าอยากรับใช้เจ้ามากหรือ
ลู่เจียวยื่นโถไปให้เขาด้วยความหงุดหงิด มีปัญญาก็ทำเองไปเลย
ลู่เจียวถอยไปด้านหลังสองก้าวพร้อมหันหลัง แบบนี้พอใจหรือยัง
แต่นางคอยเขาทำธุระส่วนตัวไปสักพัก กลับไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ของคนด้านหลัง
ลู่เจียวอดถามด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ “เหตุใดจึงยังไม่ถอดอีกล่ะ”
นางง่วงนอนมาก วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังทำหน้าหม่นหมอง ผ่านไปสักพักก็กัดฟันกรอด “เจ้าอยู่ในห้อง ข้าฉี่ไม่ออก ออกไปด้านนอกก่อนเถอะ”
ลู่เจียวกลอกตัวมองบนอีกครั้ง สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปด้านนอกทันที นางเพิ่งจะเดินออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงฉี่ รอให้เสียงเงียบหายไป นางถึงจะเข้าไปใหม่ แล้วยื่นมือไปเอาโถปัสสาวะของเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ครั้งนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ดื้อด้าน ยอมยื่นโถให้นาง
เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะนาง สมควรแล้วที่นางต้องมาเป็นทาสรับใช้ของเขา
ลู่เจียวกลับไม่รังเกียจแม้แต่น้อย เกิดเป็นหมอทหาร ทำเรื่องพวกนี้บ่อยจนเป็นธรรมดา
ลู่เจียวเอาโถปัสสาวะไปเทด้านนอก แล้วใช้น้ำล้างให้สะอาด วางมันเอาไว้เพื่อรอให้กลิ่นจาง
พอนางทำทุกอย่างเสร็จก็ไปล้างมือแล้วเข้าไปนอนในเรือน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวกำลังนอนลงบนเสื่อ ก็พูดด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ข้ายังไม่ได้ล้างมือเลย”
ลู่เจียวอยากจะพูดออกไปว่า ยังไม่จบอีกหรือ
ทว่าพอนึกถึงบุรุษผู้นี้จะเป็นโส่วฝู่จอมโหดในอนาคต จึงลุกไปตักน้ำล้างมือให้เขาอย่างฝืนทน รอให้ทำทุกอย่างเสร็จก็ดึกมากแล้ว ทั้งครอบครัวถึงจะได้นอนหลับกันอย่างสบายใจ
รุ่งสางของวันที่สอง ลู่เจียวตื่นขึ้นมาขึ้นเขา ไหนๆ ก็จะใช้วิธีนี้ลดความอ้วน ก็ถือโอกาสไปตัดฟืนกลับมาแล้วกัน
หลังจากขึ้นเขา นางก็ไปดูกับดักที่วางไว้เมื่อวานว่ามีสัตว์อะไรติดหรือไม่
นึกไม่ถึงว่าจะมีสัตว์ติดกับดักจริงๆ ครั้งนี้ได้หมูป่าตัวประมาณหนึ่งร้อยกว่าจิน[1]ที่เพิ่งตายไปไม่นาน
ลู่เจียวเห็นหมูป่าตัวนั้นก็ดีใจมาก รีบลงไปดึงมันขึ้นมา
วันนี้ไม่ตัดฟืนแล้ว เอาหมูป่าตัวนี้ไปขายในตลาดก่อนดีกว่า
หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ต้องกินไม่หมดแน่นอน เอาไปขายดีกว่า
ถึงแม้นางจะมีห้วงอากาศ เอาหมูป่ายัดเข้าไปในห้วงอากาศก็คงไม่เน่าเสีย แต่นางไม่อยากชำแหละหมูป่า ฉะนั้นเลยเลือกเอาไปขาย
เพียงแต่นางจะเก็บหมูป่าเข้าไปในห้วงอากาศแล้วแอบเอาไปขายเงียบๆ หรือจะแบกกลับไปให้ทุกคนเห็นดี
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ลู่เจียวก็ตัดสินใจแบกกลับไป เพราะนางยังต้องซื้อยาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นและซื้อของกินให้แฝดสี่
ถ้าไม่ให้คนอื่นเห็นแหล่งที่มาของเงิน ไม่แน่คนในหมู่บ้านอาจนินทาว่านางไปได้เงินมาจากไหน
ลู่เจียวแบกหมูป่าลงเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ นางกำลังจะเดินผ่านหน้าบ้านตัวเอง จู่ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูตื่นตะลึงดังขึ้น
“โอ้สวรรค์ นี่ นี่คือหมูป่าหรือ”
ลู่เจียวเงยหน้ามอง ก็เห็นจ้าวซื่อกำลังมองนางและหมูป่าบนไหล่ด้วยสีหน้าตกตะลึง
ลู่เจียวยังไม่ทันพูดอะไร เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็รีบวิ่งมาดู
ทุกคนต่างตกตะลึง เซี่ยเสี่ยวเป่าวิ่งมาด้วยความดีใจ พร้อมทั้งตะโกนอย่างตื่นเต้น “ว้าว ท่านอาสะใภ้สามเก่งจริงๆ นี่เป็นหมูป่าที่ท่านล่าได้หรือ”
ลู่เจียวมองเซี่ยเสี่ยวเป่าพร้อมพูดยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ข้าวางกับดักไว้ นึกไม่ถึงว่าจะได้หมูป่ามาตัวหนึ่ง”
เวลานี้ จ้าวซื่อเพิ่งจะได้สติกลับมา นางมองลู่เจียวแบกหมูป่าหนึ่งตัวโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย จึงอดขนหัวลุกไม่ได้ แรงเยอะเกินไปหรือเปล่า นี่ถ้าไปตบตีกับใคร…
จ้าวซื่อพึมพำในใจอย่างหวาดผวา วันหลังห้ามมีเรื่องกับนางเด็ดขาด โดนแค่หมัดเดียวก็คงตายได้
จ้าวซื่อครุ่นคิดพลางยื่นไข่ในมือให้ลู่เจียว “ข้าเอาไข่มาให้เจ้า”
ลู่เจียวปฏิเสธกลับ “พี่สะใภ้ ไม่ต้องหรอก”
จ้าวซื่อกลับดึงดัน “เมื่อวานเจ้าช่วยเสี่ยวเป่าไว้ แล้วไม่ยอมรับเงินอีก ไข่ไก่ไม่กี่ฟองก็อย่าปฏิเสธเลย เจ้าเห็นพวกเราเป็นคนนอกหรือ”
ลู่เจียวอยากปฏิเสธ แต่เมื่อวานนางช่วยเซี่ยเสี่ยวเป่าไว้จริงๆ กินไข่บ้านคนอื่นแค่สองสามฟองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ลู่เจียวแบกหมูป่าเข้าไปในลานบ้าน จ้าวซื่อตามเข้าไปเพราะยังมีเรื่องจะคุยกับนาง
เซี่ยเสี่ยวเป่าก็ติดตามเข้ามาแล้วถามด้วยความตื่นเต้น “อาสะใภ้สามเก่งจริงๆ ท่านวางกับดักอย่างไรหรือ สอนข้าหน่อยได้หรือไม่”
จ้าวซื่อได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยน นี่เรียกว่าฝีมือการล่าสัตว์เฉพาะตัว แล้วจะบอกเจ้าได้อย่างไร
จ้าวซื่อกำลังจะต่อว่าเซี่ยเสี่ยวเป่า ลู่เจียวกลับพูดว่า “ได้ ไว้จะสอนเจ้าวันหลัง”
ที่นางล่าหมูป่าได้แบบนี้ ไม่ใช่เพราะพึ่งพาแค่กับดักอย่างเดียว ทว่ากลับเป็นเพราะน้ำจากน้ำพุจิตวิญญาณที่นางป้ายเหยื่อสำหรับล่าสัตว์ต่างหาก น้ำนี่เป็นตัวดึงดูดสัตว์ตัวอื่นมาติดกับดัก
จ้าวซื่อไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ “น้องสะใภ้ไม่ต้องสนใจเขาหรอก”
เซี่ยเสี่ยวเป่าหันไปจ้องหน้ามารดาด้วยความโกรธเคือง “ท่านแม่”
———————————————–
[1] จิน คือหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม