ณ บ้านของเซี่ยเหล่าเกิน ก่อนหน้านี้หร่วนซื่อให้บุตรีไปขอขาหมูกับลู่เจียว เห็นบุตรีไม่ได้ของกลับมาก็โวยวายหยาบคายในเรือนไปยกใหญ่
นึกไม่ถึงว่าหลัวกุ้ยฮวามาถึงก็ปากร้ายไม่แพ้หร่วนซื่อ ร่วมอาละวาดโวยวายไปด้วยกัน
แม้แต่สะใภ้ใหญ่เฉินหลิ่วและบุตรีคนสุดท้องก็ล้วนเข้าข้างนาง
ภายในเรือน เซี่ยเหล่าเกินทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาปรามพวกนาง เรื่องนี้ถึงจะจบลง
ทว่าลู่เจียวไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางพาแฝดสามคนกลับบ้านแล้วเริ่มทำมื้อเที่ยง
ลู่เจียวทำไข่ผัดขึ้นฉ่าย น้ำแกงไก่ และข้าวกล้อง นางแช่ข้าวกล้องแต่เช้า ข้าวจึงไม่แข็งเกินไป
แฝดสี่กินอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขากินพลางพูดจ้อเรื่องไปเล่นที่บ้านเซี่ยฟู้กุ้ยเมื่อเช้า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ในเรือนเห็นทุกอย่างก็อบอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย เมื่อเขามองไปที่ลู่เจียวอีกครั้ง แววตาก็นิ่งลง
ลู่เจียวป้อนข้าวเขาพลางเล่าเรื่องราวในหมู่บ้านเสียงเบา
“ฐานะของคนในหมู่บ้านเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไร”
ตอนที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเผชิญหน้ากับลู่เจียวก็ไม่ได้ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เขาเกลียดลู่เจียวคนเดิมเข้าไส้ แต่ตอนนี้เขาแน่ใจว่านางไม่ใช่คนเดิม ฉะนั้นความเกลียดชังในใจจึงลดลงไม่น้อย
“อืม หมู่บ้านเซี่ยอยู่ใกล้ภูเขา อากาศเลยชื้นเกินไป ผลผลิตไม่ค่อยดี ความเป็นอยู่จึงไม่ดีตามไปด้วย”
เดิมทีเขาพยายามอย่างหนัก คิดว่าหลังจากที่สอบขุนนางได้จะสร้างคุณประโยชน์คืนสู่หมู่บ้านเซี่ย นึกไม่ถึงว่ากลับมารับบาดเจ็บเช่นนี้ อนาคตอาจจะจบสิ้นไปแล้วก็ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งร่างแผ่ซ่านความอำมหิตอีกครั้ง แม้แต่ข้าวก็ไม่อยากกินต่อ
ลู่เจียวเห็นเขาไม่อยากกินอะไร เลยป้อนน้ำแกงไก่ให้เขาดื่มไปครึ่งถ้วย
นางเก็บถ้วยชามพลางพูดอย่างใจเย็น “ถ้ามีโอกาส เจ้าอยากทำให้ชีวิตของคนในหมู่บ้านดีขึ้นไหม”
นางเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทางกลับจากบ้านผู้ใหญ่บ้าน
หมู่บ้านเซี่ยใกล้ภูเขา ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพรมากมาย เพียงแต่ทุกคนไม่รู้จักจึงไม่กล้าแตะต้อง
ถ้านางสอนให้คนในหมู่บ้านรู้จักสมุนไพรต่างๆ พวกเขาก็จะขึ้นเขาเก็บสมุนไพรไปขายได้ เช่นนั้นแล้วความเป็นอยู่ย่อมต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อสั่งสมชื่อเสียงและคุณงามความดีให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นและแฝดสี่ พวกเขาหักหน้าตระกูลเซี่ยไปแล้ว จึงต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวอื่นในตระกูลเซี่ย
แต่ไม่รู้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากจะให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่
ลู่เจียวพูดจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันเงยหน้ามองนาง แววตาดูฉงนสงสัย
“เจ้ามีวิธีอะไรดีๆ หรือ”
พอเขาถาม นางกลับนิ่งงันไป ถ้านางบอกว่าจะสอนให้ชาวบ้านรู้จักสมุนไพร แล้วเซี่ยอวิ๋นจิ่นถามนางว่ารู้จักสมุนไพรได้อย่างไร นางควรตอบเช่นไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางไม่พูดไม่จา ก็ไม่ได้จ้องหน้านางอีก เขาค่อยๆ พูดขึ้น
“แม้บางคนในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยจะเลวทราม ทว่าคนส่วนมากก็จิตใจดี ที่นี่อากาศดี ทีแรกข้าคิดว่ารอให้สอบขุนนางได้ จะช่วยให้พวกเขามีอาชีพที่มั่นคง จากนั้นค่อยมาเปิดสถานศึกษาในหมู่บ้าน ให้เด็กๆ ได้ร่ำเรียนตำรา นึกไม่ถึงว่าข้ากลับต้องกลายเป็นคนพิการที่นอนติดเตียง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดจบ สีหน้าก็เศร้าระทมเกินคำบรรยาย
ลู่เจียวเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดอย่างประหลาด อันที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลย ทว่านางกลับรู้สึกละอายใจนัก
นางปลอบใจเขา “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าบอกแล้วว่าจะหาหมอมารักษาขาของเจ้า เจ้าต้องดีขึ้นแน่นอน”
ลู่เจียวเพิ่งจะพูดจบ เขาก็เอ่ยถาม “เจ้ามีวิธีดีๆ อะไรให้คนในหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือ”
ลู่เจียวพลันตอบกลับอย่างไม่ทันคิด “บนภูเขามีสมุนไพรเยอะมาก ข้าจะสอนพวกเขา…”
ยังไม่ทันพูดจบ ลู่เจียวก็เพลันรู้ตัวว่าตัวเองติดกับดักของเซี่ยอวิ๋นจิ่นเสียแล้ว เขาพูดให้ตัวเองดูน่าสงสารก่อน จากนั้นค่อยเบี่ยงประเด็นมาพูดถึงเรื่องนี้โดยที่นางไม่ทันตั้งตัว
ลู่เจียวจ้องหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยความโมโห มิน่าล่ะ เขาถึงได้เป็นบัณฑิตที่สอบได้คะแนนสูงสุด ที่แท้ก็เจ้าเล่ห์เพทุบายนี่เอง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางและเอ่ยถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องสมุนไพร”
ลู่เจียวขนลุกเกรียว รีบหาข้ออ้างทันที “ตอนอยู่ที่บ้าน ข้าเคยขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา เลยพอรู้มาบ้าง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางด้วยแววตาลุ่มลึก แล้วแย้มยิ้มบาง “ข้าได้ยินมาว่าความเป็นอยู่ของพ่อตาแม่ยายไม่ค่อยดีมิใช่หรือ”
ถ้าลู่เจียวรู้จักสมุนไพรบนภูเขา แล้วเหตุใดถึงไม่เก็บไปขาย ชีวิตของคนในตระกูลลู่อาจดีขึ้น
ลู่เจียวขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ตอนนั้นข้าแค่ไม่เคยลิ้มรสความลำบาก เอาแต่กินนอนอยู่ในบ้าน ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย”
นางพูดจบก็รีบคว้าถ้วยตะเกียบเตรียมลุกออกไป
“ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
จะได้ไม่ต้องถามโน่นถามนี่ ไม่เช่นนั้นนางคงจะหลุดปากออกไป
ลู่เจียวเพิ่งจะหันหลังเตรียมจากไป คนบนเตียงก็เอ่ย “ได้”
ลู่เจียวชะงัก หันไปสบตาเขา “ได้อะไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดด้วยแววตานิ่งเฉย “สอนพวกเขาให้รู้จักสมุนไพรได้ คนในหมู่บ้านเซี่ยยากไร้เกินไป”
ลู่เจียวเบ้ปาก อยากพูดว่าได้ก็ได้กระนั้นหรือ
ทว่าพอนางครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของตนและวายร้ายขึ้นมา ก็ได้แต่คิดว่า ช่างเถอะ ยังต้องค่อยๆ ปรับความเข้าใจกันไป
“ได้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกผู้ใหญ่บ้าน ให้ทุกบ้านส่งตัวแทนมาเรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับข้า แต่สมุนไพรมีหลากหลายชนิด ข้าคิดว่าสอนพวกเขาสักสิบกว่าชนิดก็น่าจะพอแล้ว”
สมุนไพรมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด นางไม่มีทางเหนื่อยสอนให้ครบทุกชนิด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้คัดค้าน “อืม”
ลู่เจียวกล่าวต่อ “ทว่าคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับข้า ข้าไม่สอนนะ”
นางเป็นคนขี้งก ไม่ได้ใจกว้างมากขนาดนั้น
“สำหรับคนของตระกูลเซี่ย ให้พี่สะใภ้รองมาเรียนได้คนเดียว ข้าไม่คิดจะสอนคนอื่น”
โดยเฉพาะเซี่ยหลาน เห็นหน้านางทีไรก็หมั่นไส้ที่สุด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ตอบกลับ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าแม่นางตรงหน้าไม่ได้ดูน่าเบื่อแม้แต่น้อย
ลู่เจียวยกถ้วยกำลังจะเดินจากไปอีกครั้ง ก็เห็นแฝดสี่กะพริบตากลมโตมองนางสลับกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ต่อให้เป็นเวลาเพียงครู่เดียวที่ท่านพ่อและท่านแม่พูดคุยกันดีๆ พวกเขาก็ประทับใจมาก
ทว่าแฝดสี่ก็ได้สติกลับมา เหตุใดพวกเขาถึงได้เรียกมารดาผู้ให้กำเนิดว่านางมารร้ายล่ะ
แฝดสี่สีหน้าเคร่งเครียดทันที
ลู่เจียวมองด้วยความข้องใจ แล้วเอาถ้วยในมือวางบนโต๊ะเล็กของพวกเขา ยกถ้วยชามพร้อมโต๊ะกลับครัว
แฝดสี่คนที่อยู่ด้านหลังวิ่งไปตรงหน้าเตียงเซี่ยอวิ๋นจิ่น ขณะเดียวกันก็เอาแมลงปอไม้ไผ่ออกมาเล่น
“ท่านพ่อ ดูนี่สิ นี่เรียกว่าแมลงปอไม้ไผ่ มันยอดเยี่ยมมาก”
“ข้า ข้าจะเล่นให้ท่านดู”
แฝดสี่หมุนไม้ไผ่ แมลงปอสี่ตัวบินขึ้นทั่วห้อง แฝดสี่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองแฝดสี่คน ก็นึกถึงลู่เจียวขึ้นมา ถ้านางไม่ประสงค์ร้ายใดๆ เขาก็ยอมให้นางอยู่ดูแลแฝดสี่ได้ ตอนนี้แม่นางคนนี้เหมือนจะสั่งสอนเด็กเป็น