ลู่เจียวกินข้าวเสร็จก็เข้าไปอาบน้ำในน้ำพุจิตวิญญาณ
แม้ห้วงอากาศนี้จะดีมาก ทว่านางกลับใช้เวลาอยู่ได้นานที่สุดสามชั่วโมงเท่านั้น ต่อให้นางไม่อยากออกมา ห้วงอากาศก็จะดีดนางออกมาเอง
ลู่เจียวอาบน้ำเสร็จก็ดื่มน้ำวิเศษไปหนึ่งแก้ว นางรู้สึกสบายไปทั้งตัว ไม่ได้เหนื่อยล้าเหมือนในตอนแรก
ทว่านี่ก็ดึกมากแล้ว นางรีบออกจากห้วงอากาศ เก็บกวาดห้องครัว แล้วค่อยออกจากห้องครัวไปที่เรือนตะวันออก
ลู่เจียวเพิ่งเข้าไปในเรือน เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่หลับใหลไปแล้วก็ลืมตามองนางทันที แววตาคู่นั้นดูเย็นชาและระแวดระวังเป็นพิเศษ ทว่าพอเห็นว่าเป็นลู่เจียว เขาก็ค่อยๆ หลับตาหลับใหลไป
ลู่เจียวเห็นว่าเขาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนในตอนแรก ก็ไม่ได้หาเรื่องทะเลาะกับเขาอีก ปูเสื่อนอนบนพื้น
วันถัดไป ลู่เจียวตื่นเช้ามาก ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ก็ตื่นไปเขาเงียบๆ คนเดียวแล้ว ถือโอกาสนี้ไปตัดฟืนด้วย
เพียงแต่นางเพิ่งจะออกจากบ้าน เซี่ยเสี่ยวเป่าที่อยู่ข้างบ้านก็วิ่งระริกระรี้ออกมา
“อาสะใภ้สาม อาสะใภ้สามตื่นเช้าขนาดนี้ จะไปขึ้นเขาหรือ”
ลู่เจียวตอบกลับเพียงอืม แล้วมองเซี่ยเสี่ยวเป่าด้วยความข้องใจ “เหตุใดเจ้าถึงตื่นเช้าจัง ไม่เห็นขี้เซาเหมือนเด็กคนอื่นเลย”
เซี่ยเสี่ยวเป่ายิ้มเบิกบาน “เมื่อวานอาหารที่ท่านทำอร่อยมาก วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ถ้าได้มา จะให้ท่านแม่ทำแบบนั้นให้ข้ากิน ใช่แล้ว ท่านอาสะใภ้ช่วยสอนท่านแม่หน่อยได้หรือไม่”
ลู่เจียวพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำแกงเมื่อวานยังเหลือ ถ้าเจ้าจะเอา ก็ให้แม่เจ้ามายกที่บ้านข้าไปเทใส่หม้อแล้วต้มอีกรอบก็พอแล้ว”
เซี่ยเสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้นทันที “ดีเลย อาสะใภ้ใจดีจริงๆ ”
ลู่เจียวรู้สึกขบขัน แค่นี้ก็ใจดีแล้วหรือ เด็กจริงๆ ทั้งสองเดินขึ้นเขาด้วยกัน ลู่เจียวสอนเซี่ยเสี่ยวเป่าวางกับดักก่อน นางไม่หวงความรู้แม้แต่น้อย ยินดีสอนเขาตลอดทางขึ้นเขา
“วิธีวางกับดักมีอยู่หลายแบบ ก่อนหน้านี้ข้าใช้วิธีที่ง่ายที่สุด ขุดหลุมหนึ่งให้ก้นหลุมกว้างปากหลุมแคบเป็นทรงขวดน้ำปากเล็ก แล้วเสียบไม้ไผ่ปลายแหลมไว้ในโคลนด้านล่าง ด้านบนคลุมด้วยหญ้า แล้ววางสัตว์หรือเนื้อที่มีกลิ่นคาวเลือดแรงไว้บนหญ้าก็พอแล้ว”
“อีกแบบคือใช้ลวดเหล็ก ข้างหนึ่งผูกเงื่อนเป็น อีกข้างมัดเงื่อนตาย ตรงกลางแขวนเนื้อไว้ สัตว์ที่เข้าไปกินจะถูกลวดรัด ยิ่งดิ้นก็ยิ่งแน่น สุดท้ายจะถูกรัดตาย”
“ส่วนอีกแบบคือกับดักที่หนีบสัตว์ ด้านในที่หนีบใส่เหยื่อไว้หนึ่งชิ้น ถ้าสัตว์เข้าไปกิน ก็จะโดนกับดักหนีบ แน่นอนว่าต้องซ่อนที่หนีบไว้ในหญ้า อย่าให้สัตว์สังเกตเห็นเด็ดขาด”
“แล้วยังมีกับดักตาข่าย บนพื้นต้องปูตาข่ายที่มีกลไกกิ่งไม้ทั้งสี่มุม ตรงกลางวางเนื้อล่อสัตว์ไว้ ต้องเอาหญ้าคลุมไว้บนตาข่ายเช่นกัน อย่าปล่อยให้สัตว์รู้ทัน สัตว์บางตัวก็ก็ฉลาด ถ้าพวกมันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติก็จะไม่ติดกับ ต้องรอให้สัตว์หลงเข้ามาโดนกลไกกิ่งไม้ทั้งสี่มุม ตาข่ายดักสัตว์ก็จะรวบเข้า สัตว์ที่ติดกับก็เหมือนปลาติดแห หนีไปไหนไม่ได้”
ลู่เจียวพูดถงกับดักไปหลายแบบ เซี่ยเสี่ยวเป่าฟังจนมึนงง สุดท้ายก็ถามลู่เจียว “อาสะใภ้สาม แล้วท่านเลือกแบบใด”
“ข้าเลือกแบบที่ง่ายที่สุด ขุดหลุมและเสียบไม้ไผ่ปลายแหลมไว้ในหลุม แล้วค่อยเอาเนื้อล่อสัตว์”
อันที่จริงลู่เจียวไม่ขุดแม้แต่หลุม นางเลือกหลุมก้นใหญ่และปากแคบที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แล้วเสียบไม้ไผ่แหลมไว้ด้านล่าง
ที่นางวางเนื้อล่อสัตว์มาติดกับสำเร็จ เป็นเพราะน้ำวิเศษเป็นสิ่งดึงดูดพวกสัตว์ป่ามากที่สุด แน่นอนว่านางคงบอกเรื่องนี้ให้เซี่ยเสี่ยวเป่ารู้ไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวเป่าได้ยินคำพูดของลู่เจียว ก็ร้องอย่างตกตะลึง “เช่นนั้นข้าไม่ได้เอาอุปกรณ์อะไรมาขุดหลุมเลย อาสะใภ้สาม ข้าจะกลับไปเอาจอบก่อน”
เซี่ยเสี่ยวเป่าพูดจบก็วิ่งกลับ ลู่เจียวอยากบอกเขาว่าวันนี้ไม่ต้องกลับไปเอาแล้ว ใช้หลุมที่นางหาเจอเถอะ แต่เซี่ยเสี่ยวเป่าวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่าย หายไปในชั่วพริบตา
ลู่เจียวก็ไม่ได้สนใจเขา หันหลังเดินขึ้นเขาไปตัดฟืนต่อ วันนี้นางไม่ได้ไปดูกับดัก ก่อนหน้านี้หนูไผ่ในกับดักโดนสัตว์ป่ากินไปแล้ว นางยังไม่ได้เอาเหยื่อไปใส่ใหม่ จึงไม่มีสัตว์ติดกับดัก
เพราะตอนนี้นางไม่ขาดแคลนเนื้อ จึงไม่คิดจับสัตว์
ลู่เจียวรีบตัดฟืน เห็นว่าผ่านมานาน จึงแบกฟืนเดินลงเขา
เพียงแต่ยังไม่ทันลงจากเขา เพิ่งจะหักโค้งเปลี่ยนทิศ ก็เจอบุรุษท่าทางอันธพาลคนหนึ่งเดินมา
ลู่เจียวมองออกทันทีว่าชายผู้นี้คือใคร ไอ้หมอนี่ไม่มีความรู้ความสามารถ ทั้งยังชอบลักเล็กขโมยน้อยเป็นประจำ เป็นพวกเดียวกันกับเสิ่นเสี่ยวซาน เหมือนจะชื่อว่าหลัววั่งไฉ
แม้ว่าลู่เจียวจะรู้จักชายผู้นี้ แต่กลับไม่สนใจเขา เดินสวนทางกับเขาช้าๆ
ไม่นึกเลยว่านางเพิ่งจะเดินสวนเขา เขาก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ และยังทักทายลู่เจียวด้วยท่าทางราวกับตัวเองมีเสน่ห์มากอย่างนั้นแหละ
“ลู่เจียว ขึ้นเขาไปตัดฟืนหรือ”
ลู่เจียวแค่เห็นเจ้าหมอนี่ถามก็หรี่ตาลงทันที คิดในใจว่า ทำท่าทางเช่นนี้ คิดจะทำอะไรของเขา
นางชะงักฝีเท้าลง พยักหน้า “ใช่ เจ้าขึ้นเขามาทำไมหรือ”
ตอนนี้ฟ้ายังไม่ค่อยสว่าง เจ้าหมอนี่ชอบลักเล็กขโมยน้อย หากไม่มีจุดประสงค์แล้วจะขึ้นเขาได้อย่างไร
หลัววั่งไฉได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขานึกว่ารอยยิ้มตัวเองยิ้มมีเสน่ห์มาโดยตลอด ที่ผ่านมาสาวๆ ในหมู่บ้านก็หลงเขาจนหัวปักหัวปำไปไม่น้อย ลู่เจียวที่เป็นสตรีอ้วนท้วนแบบนี้ ถ้าอยากเกี้ยวพาราสี ไม่ใช่ว่าง่ายเพียงกระดิกนิ้วก็พอแล้วหรือ
เขาจำคำพูดของเสิ่นซิ่วได้ ถ้าเขายั่วยวนนางอ้วนลู่เจียวคนนี้ได้ นางจะตบรางวัลเขาเป็นอย่างงาม
หลัววั่งไฉยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข ถึงแม้เขาจะรังเกียจลู่เจียว ทว่าเพื่อเงิน เขาก็ยอมทำทุกอย่าง
หลัววั่งไฉคิดแล้วก็หรี่ตาลง แสร้งปั้นหน้ารักใคร่เอ็นดูลู่เจียว
“ข้าเห็นใจเจ้าต้องลำบากขึ้นเขามาตัดฟืนเอง เลยคิดว่าจะขึ้นเขามาตัดฟืนแทนเจ้า”
ลู่เจียวไร้คำจะเอ่ย นางตัดฟืนเสร็จแล้วเขาค่อยมา นี่หรือเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ
“ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราดีเช่นนี้เลยหรือ เจ้าถึงมาเห็นอกเห็นใจข้าแบบนี้”
หลัววั่งไฉเลิกคิ้วขึ้น เล่นหูเล่นตาใส่ลู่เจียว
ลู่เจียวเห็นแล้วปวดศีรษะทันที นี่เล่นหูเล่นตาใส่ข้าอยู่หรอกหรือ ราวกับเส้นเอ็นตากระตุกกระนั้นแหละ เขานึกว่าตัวเองมีเสน่ห์มากเลยหรือ ข้าใกล้จะอาเจียนแล้ว
หลัววั่งไฉไม่รู้ ยังคงพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้แม้ความสัมพันธ์ของพวกเราจะไม่ดี แต่หลังจากนี้ต้องดีขึ้นแน่นอน ข้าเอ็นดูเจ้าจริงๆ นะ”
เขายกมือขึ้นหมายจะกอดลู่เจียว นางกลับยกเท้าถีบเขาไปไกลถึงสามเมตร
หลัววั่งไฉตะกละเกียจคร้าน แล้วยังบ้ากามตัณหา ตอนที่พุ่งเข้าไปกอดลู่เจียว จะทันระวังตัวรับมือกับการจู่โจมของลู่เจียวได้อย่างไร พอโดนเตะไปไกลเช่นนี้ ก็เจ็บปวดจนหน้าซีด
เขาพยายามลุกขึ้นด้วยความโมโห “ลู่เจียว ไอ้หมูสมควรตาย”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็นึกถึงเงินที่จะได้ จึงเปลี่ยนสีหน้าจากโกรธเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรมทันที “เจียวเจียว เจ้าทำเช่นนี้ ทำให้ข้าลำบากใจเกินไปแล้ว ข้าอุตส่าห์เอ็นดูเจ้าที่ต้องคอยรับใช้คนพิการเลยอยากมาช่วย เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดป้อยอของเขาก็อยากอาเจียนมาก ช่างเถอะ คนอย่างนี้สนใจไปก็เปล่าประโยชน์
นางสาวเท้าก้าวใหญ่ เดินไปกระชากตัวเขาลุกขึ้นแล้วผลักเขาไปชิดต้นไม้ริมถนน จากนั้นก็เงื้อหมัดชกท้องขาไปหนึ่งหมัด