ตอนที่ 56 ได้เงินอีกแล้ว
ชาวบ้านที่มามุงดูทยอยกันออกจากหน้าบ้านเซี่ยอวิ๋นจิ่น ขณะที่เดินกลับบ้านก็พูดคุยกันหลายเรื่อง เรื่องที่เป็นประเด็นที่สุดก็ไม่พ้นเซี่ยอวิ๋นหวา บุตรคนที่สี่ของตระกูลเซี่ย
ชายคนนี้มีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ทว่ากลับไม่ยอมทำการทำงาน เอาแต่เที่ยวเล่นเกียจคร้านไปวันๆ
เมื่อพูดถึงคนคนนี้ ก็เพิ่งสังเกตว่าเขาเป็นคนตะกละเกียจคร้านจริงๆ นึกถึงร่างอ้วนท้วนและผิวพรรณขาวผ่อง แล้วย้อนมองร่างซูบผอมของแฝดสี่ ก็อดเห็นใจเด็กสี่คนนี้ไม่ได้จริงๆ
ที่แท้ทุกคนหลงเชื่อคำพูดของหร่วนซื่อ คิดว่าลู่เจียวแย่งของลูกมาโดยตลอด ตอนนี้พอมาขบคิดอย่างละเอียด ลู่เจียวก็อ้วนมาตั้งแต่แต่งเข้าหมู่บ้านเซี่ยแล้ว
ลู่เจียวอ้วนมาตั้งแต่อยู่บ้านต้นตระกูลของนาง กลับเป็นบุตรชายคนสุดท้องของตระกูลเซี่ยที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น แฝดสี่เป็นคนก็พูดเรื่องนี้ออกจากปากเอง เด็กอายุเท่านี้ ไม่มีทางพูดปดแน่นอน ฉะนั้นคนที่ตะกละเกียจคร้านที่สุดในบ้านเซี่ยก็คือเซี่ยอวิ๋นหวา
ลู่เจียวเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน จึงพาแฝดสี่ไปล้างหน้าล้างตาในสวน
วันนี้พวกเขาทำดีมาก ลู่เจียวพอใจอย่างยิ่ง
ซื่อเป่าเดินมาตรงหน้าลู่เจียวอย่างดีอกดีใจ เอ่ยชมตัวเองไม่หยุด
“ท่านแม่ ข้าร้องไห้ได้สมจริงหรือไม่”
ลู่เจียวจับจมูกน้อยๆ ด้วยความขบขัน “เหมือน เหมือนมาก ว่าแต่ใครเป็นคนสอนให้พวกเจ้าทำเช่นนี้”
เอ้อร์เป่า ซานเป่าและซื่อเป่าหันมองต้าเป่า ต้าเป่าแค่นเสียงในลำคออย่างภาคภูมิใจ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในเรือน
ลู่เจียวมองร่างน้อยนี้ก็นึกถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่น สองพ่อลูกคู่นี้ลูกไม้แพรวพราวไม่แพ้กันเลยจริงๆ
ทว่าพอนึกถึงหร่วนซื่อ นางก็เห็นอกเห็นใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง เหตุใดเขาถึงมีแม่ใจร้ายเช่นนี้
เขาไม่ใช่ลูกในไส้ของหร่วนซื่อหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นมารดาแท้ๆ ที่ไหนจะทำกับบุตรตัวเองเช่นนี้
ลู่เจียวกำลังครุ่นคิด เถียนซื่อกับลู่กุ้ยก็เดินเข้ามา ทั้งสองมองแฝดสามคนด้วยความเป็นห่วง “เด็กๆ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ลู่เจียวส่ายหัว “ไม่เป็นไร พวกเขาฉลาดรู้ความมาก”
สามแฝดได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ก็ปิดปากกลั้นหัวเราะ หันมองเถียนซื่อและลู่กุ้ย “พวกเราแกล้งทำเท่านั้น”
เถียนซื่ออดยิ้มไม่ได้ “เจ้าเล่ห์จริงๆ”
ลู่เจียวเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ได้เวลาเตรียมมื้อค่ำแล้ว
นางเข้าไปในครัวเพื่อลอบเอาเนื้อทรายและกระต่ายป่าออกจากห้วงอากาศแล้วเดินไปบอกลู่กุ้ย
“ลู่กุ้ย ช่วยข้าชำแหละเนื้อทรายที มื้อค่ำนี้พวกเราจะกินเนื้อทรายและกระต่ายกัน”
ลู่กุ้ยได้ยินว่าจะได้กินเนื้อ ตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าไม่หยุด “ได้ ข้าจะไปช่วยชำแหละเดี๋ยวนี้”
เถียนซื่อก็ไปช่วยลู่กุ้ยชำแหละเนื้อทรายและกระต่ายเช่นกัน
ลู่เจียวพาแฝดสามไปจัดของเยี่ยมจากสหายร่วมชั้นเรียนของอวิ๋นจิ่นในห้องโถง นางเพิ่งเดินไปที่หน้าประตู ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นดังมาจากเรือนตะวันออก
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดความจริงหรือ อาสี่ของพวกเจ้ากินไข่กินขนมในบ้าน แต่ไม่ให้พวกเจ้ากิน ท่านย่ายังให้พวกเจ้าไปขุดไส้เดือนมาให้อาหารไก่ แต่ไม่ให้พวกเจ้ากินข้าวกินปลาจริงหรือ”
ต้าเป่าตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านพ่อไม่เคยถามเรื่องอาสี่นี่ ทุกครั้งก็แค่ถามท่านแม่ตีพวกเราหรือไม่ แย่งของกินของพวกเราหรือไม่ ท่านไม่เคยถามถึงอาสี่ อีกอย่าง ท่านย่าไม่ให้คนในบ้านพูดเรื่องของอาสี่ด้วย นางขู่ว่าถ้าใครหลุดเรื่องอาสี่ออกมา จะไม่ให้กินข้าว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของบุตรชาย ใบหน้าสุขุมพลันฉาบด้วยความโหดเหี้ยม
เขานึกมาโดยตลอดว่าที่แฝดสี่ซูบผอมเช่นนี้ เพราะลู่เจียวแย่งของกินเด็กๆ ตอนนี้เพิ่งมารู้ว่าที่แท้แม่ของตนใจดำเช่นนี้
เพื่อที่จะให้แฝดสี่ได้กินของดีหน่อย เขาจะส่งเงินสองสามตำลึงกลับบ้านเป็นระยะ
สุดท้ายมารดาเขาบอกเขาว่า ที่แฝดสี่ผอมขนาดนี้ ก็เพราะลู่เจียวแย่งของลูกกิน
เขาเพิ่งมารู้ความจริงในวันนี้เอง เงินที่เขาส่งกลับบ้าน กลับเข้าปากของไอ้เนรคุณอย่างเจ้าสี่ มิน่าเล่า เจ้าสี่ถึงได้อวบอ้วนอุดมสมบูรณ์และผิวพรรณผุดผ่องแบบนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกเส้นผมบังภูเขา เพียงจับจ้องลู่เจียว จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีเรื่องมากมายสะท้อนเข้าสมอง เช่นเรื่องสาเหตุที่แฝดสี่ขาดสารอาหาร แต่เจ้าสี่กลับอุดมสมบูรณ์มาก
เขาไปเรียนหนังสือในสถาบันศึกษา หนึ่งเดือนได้พักผ่อนแค่วันเดียว จึงไม่รับรู้เรื่องพวกนี้ อีกทั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าตัวเองจะสอบติดในปีหน้า จึงมักจะนัดปัญญาชนคนอื่นไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จึงต้องออกไปค้างแรมข้างนอกคราวละสองสามเดือน ก็ยิ่งยากที่จะรับรู้สถานการณ์ในบ้านมากขึ้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงเรื่องพวกนี้ ภายในใจก็รู้สึกแย่ยิ่งนัก แฝดสี่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ เป็นเพราะตัวเองแท้ๆ
“พ่อผิดไปแล้ว พ่อไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
ลู่เจียวจัดของทุกอย่างไปสักพัก ก็สังเกตเห็นว่าของที่สหายเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอามามีแต่ของกินและของใช้จำเป็น มีทั้งขนม ของว่าง ลูกกวาด ใบชา ผ้าและยาสมุนไพร
ยาสมุนไพรที่กล่าวถึงล้วนเป็นของล้ำค่า มีทั้งโสม โส่วอู ตังกุยและตานเซิน
ลู่เจียวยกสมุนไพรไปเข้าไปในเรือนตะวันออกแล้วถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ของที่สหายเจ้าให้มาล้ำค่าเกินไปแล้ว อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่สมุนไพรพวกนี้ล้ำค่าเหลือเกิน มีทั้งโสม โส่วอู กังกุยและตานเซิน ของพวกนี้ตีมูลค่าได้ไม่น้อยเลย”
ลู่เจียวพูดจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เงยหน้ามอง พอเห็นหน้าลู่เจียว สีหน้าก็คล้ำดำจนน่ากลัว
แต่เมื่อเขาก็นึกได้ทันทีว่าหญิงตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาคนเดิม แววตาก็อ่อนโยนขึ้นมาก
เขามองสมุนไพรในมือของลู่เจียวแล้วเอ่ยอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก “หันถงน่าจะเป็นคนให้ของพวกนี้ เจ้าไม่ต้องสนใจ เขาไม่ขาดเงิน”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กระจ่างทันที ดูๆ แล้วหันถงคงจะมีเงินมาก อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ลู่เจียวครุ่นคิดถึงนิยายเล่มที่ตนอ่านอย่างละเอียด เหมือนว่าในนิยายจะไม่มีคนชื่อหันถง น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางไม่ตั้งใจอ่าน เพียงอ่านแต่เรื่องราวของพระเอกและนางเอกที่เล่าถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าเป็นวายร้ายในเรื่อง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอื่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียว จู่ๆ ก็พูดขึ้น “เจ้ามานี่หน่อย”
ลู่เจียวเลิกคิ้วด้วยความฉงนใจ นึกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากดื่มน้ำ เลยถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าอยากดื่มน้ำหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหัว คหยิบสิ่งหนึ่งออกจากใต้หมอนให้ลู่เจียว
ลู่เจียวยื่นมือรับไว้แล้วก้มลงมอง เหมือนจะเป็นตั๋วเงิน
นางมองยอดเงินอย่างละเอียด ตั๋วเงินนี้กลับมีมูลค่าหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง
ลู่เจียวตะลึงงัน “เงินมากมายขนาดนี้ ไปเอามาจากไหน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอธิบายให้นางฟัง “สามปีก่อน ข้ากับหันถงเปิดร้านหนังสือตรงข้ามสถาบันด้วยกัน นี่เป็นส่วนแบ่งที่ข้าได้ ทางร้านจะแบ่งรายได้กันครึ่งปีครั้ง นี่เป็นเงินที่หันถงแบ่งให้”
อันที่จริงเขายังมีเงินบางส่วนที่ฝากไว้กับหันถง เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจริงๆ
ก่อนหน้านี้หันถงไม่รู้ว่าเขาโดนรถม้าชนจนสาหัสเช่นนี้ เลยไม่ได้เอาเงินพวกนี้มาให้เขาก่อน
ถ้าหันถงได้ข่าว ย่อมรีบนำเงินมาให้เขาทันที
อันที่จริงตอนแบ่งเงิน เขาได้มาห้าร้อยตำลึง ทว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอาเก็บไว้เพียงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ส่วนที่เหลือยังคงฝากไว้ที่หันถง