ตอนที่ 67 ท่านแม่ไม่พูด
ลู่เจียวที่อยู่ด้านนอกได้ยินแฝดสี่ร้องไห้งอแงก็ไม่สบายใจแม้แต่น้อย จึงยกชามเดินเข้ามา
“เอาเถอะ ร้องไห้ทำไม พวกเราไม่มีทางกลับไปอยู่แล้ว ถ้าพ่อพวกเจ้ากล้ากลับไป แม่จะพาพวกเจ้าอยู่ต่อที่นี่เอง ไม่ให้กลับไปกับเขา”
แฝดสี่ได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็หยุดร้องไห้แล้วหันไปมองนาง “จริงหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “อื้ม จริงสิ”
สุดท้าย พวกเขาก็หยุดร้องไห้กันจนได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็ไม่สบอารมณ์มาก เขามองลู่เจียวด้วยสายตาเย็นชา “ข้าพูดแล้วหรือว่าจะกลับไป”
ลู่เจียวไม่สนใจเขา หันไปมองแฝดสี่พร้อมส่งยิ้มเบิกบาน “ได้ยินกันหรือยัง พ่อพวกเจ้าก็ไม่กลับไป พวกเราทั้งครอบครัวจะอยู่ที่นี่”
แฝดทั้งสี่ได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็โล่งอก ซื่อเป่าวิ่งไปข้างเตียงของเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างยินดี
“ท่านพ่อ ดีจริงๆ”
ซื่อเป่าขยับเข้าไปหอมบิดาทีหนึ่งเ อ้อร์เป่าและซานเป่าพลันวิ่งไปหอมบิดาคนละที มีเพียงต้าเป่าที่ยังคงตกอยู่ในภวังค์สักพัก สุดท้ายก็วิ่งไปหอมแก้มบิดาเหมือนกันแก้มของเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยน้ำลาย เขาหันไปมองลู่เจียว นี่ฝึกจากเจ้าใช่ไหม
แต่ก่อนแฝดสี่แม้จะสนิทสนมกับเขามาก ทว่าก็ไม่เคยหอมเขาเช่นนี้
ลู่เจียวเลิกคิ้วขึ้น คลี่ยิ้มสดใสให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าคงดีใจจะแย่สิ
นางส่งยิ้มเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องทันที แฝดสี่ที่อยู่ด้านหลังเดินตามนางออกไปด้วยความดีใจ ท่านพ่อและท่านแม่บอกว่าไม่กลับเรือนใหญ่ พวกเขาดีใจอย่างยิ่ง
เซี่ยเอ้อร์จู้เห็นว่าลูกเมียของน้องสามไม่ยอมกลับไป น้องสามก็ไม่มีทางกลับไปแน่นอน
เซี่ยเอ้อร์จู้มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ไหนๆ น้องสามก็คิดว่าจะไม่กลับไป เช่นนั้นก็ต้องคิดว่าจะบอกท่านแม่อย่างไร”
แม้บิดาและมารดาจะปฏิบัติไม่ดีกับพวกเขา แต่ถ้าบุตรชายไม่เชื่อฟังพ่อแม่ย่อมโดนคนอื่นต่อว่า หากขาน้องสามหายแล้ว เขาต้องเข้าสอบคัดเลือกขุนนางแน่นอน เรื่องนี้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ได้
“พี่รองวางใจเถอะ”
เซี่ยเอ้อร์จู้ลุกขึ้นกำลังจะเดินจากไป ก่อนไปก็กำชับน้องสาม “น้องสามไปผ่าตัดวันไหน อย่าลืมบอกข้าด้วยล่ะ ข้าจะได้ส่งเจ้าเข้าเมือง”
“ได้”
ลู่เจียวเดินเข้าไปเอาชามข้าวเปล่าของเซี่ยเอ้อร์จู้ออกมาแล้วถือโอกาสถาม “พี่รอง ดื่มน้ำหน่อยไหม”
เซี่ยเอ้อร์พลันส่ายหน้า “ไม่ดื่ม ข้าจะกลับแล้ว”
ลู่เจียวไม่ได้รั้งเขาอยู่ต่อ พยักหน้าเดินออกไปทันที
ตอนบ่าย มีคนในหมู่บ้านมากมายมาเยี่ยมเซี่ยอวิ๋นจิ่น แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างก็มาเยี่ยมด้วย
ลู่เจียวรินชาให้พวกเขาพร้อมกล่าวทักทายสั้นๆ จากนั้นก็เดินไปช่วยเถียนซื่อตัดเสื้อผ้าให้แฝดสี่ที่เรือนตะวันตก
นึกไม่ถึงว่าสตรีที่มาเยี่ยมจะเห็นเรื่องนี้ จึงพากันมาช่วยพวกนางตัดเย็บที่เรือนตะวันตก
ลู่เจียวตัดเสื้อให้แฝดสี่สองแบบ ชุดหนึ่งเป็นเสื้อคอจีน อีกชุดเป็นเสื้อคอป้าย
แฝดสี่รู้ว่านางตัดเสื้อผ้าเหล่านี้ให้พวกเขาก็ดีใจจนพูดไม่ออก วิ่งไปดูทันที
พวกเขาโตมาป่านนี้ยังไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เลย จึงตื้นตันใจเป็นพิเศษ
ลู่เจียวเห็นว่ามีคนมาช่วยตัดชุดมากมายก็ไม่ได้เข้าไปช่วยอีกเพราะนางตัดเย็บไม่เป็น
นางหาเวลาทำผ้ามัดผมให้แฝดสี่ จะได้ใช้ตอนมวยผม
เด็กชายที่บ้านนอกจะโกนหัวโล้น เหลือผมไว้สองหย่อม เพื่อมวยผมทั้งสองข้าง
บางคนเหลือหย่อมตรงกลางไว้มัดจุก หรือเปียผมหนึ่งเส้น
เดิมทีแฝดสี่โกนหัวโล้น มวยผมทั้งสองข้าง แต่ช่วงนี้ไม่ได้โกนหัว จึงมีผมอ่อนๆ ขึ้นทั้งหัว
ลู่เจียวไม่คิดจะโกนหัวให้พวกเขา ให้พวกเขาไว้ผมทั้งสองข้างเช่นนี้ ดูละมุนละไมยิ่งกว่า
นางไม่บอกว่าจะโกนหัวให้พวกเขา พวกเขากลับกังวลใจมาก โดยเฉพาะซานเป่า
เขาลูบศีรษะตัวเองแล้ววิ่งไปข้างลู่เจียว สะกิดและพูดเสียงเบา “ท่านแม่ ข้าไม่อยากหัวโล้น”
เขารู้สึกว่าตัวเองไว้ผมจะดูรูปงามกว่า ท่านพ่อไว้ผมยาวก็เจิดจรัสมาก
พวกต้าโถวและเหมาเหมาก็โกนหัวโล้นและไว้ผมหนึ่งจุกสำหรับถักเปีย ทรงผมทุเรศมาก!
ลู่เจียวมองซานเป่าด้วยความขบขัน สังเกตเห็นว่าในบรรดาแฝดสี่ ซานเป่าจะรักสวยรักงามกว่าใครๆ ถึงจะยังใส่ชุดตัวเก่า แต่บางครั้งเขาจะปีนเก้าอี้ส่องตัวเองในคันฉ่อง จากนั้นใช้มือลูบผมเบาๆ
“ได้ ไม่โกนก็ไม่โกน”
ซานเป่าดีใจจนกระโดดโลดเต้น
จ้าวซื่อที่อยู่ในเรือนถามขึ้น “พวกเจ้าสองแม่ลูกคุยอะไรกันอยู่”
ซานเป่าวิ่งไปตรงหน้าลู่เจียว ยื่นมือปิดปากลู่เจียวไว้ “ท่านแม่ อย่าพูดนะ”
ทุกคนในเรือนต่างก็ขบขันกับความน่าเอ็นดูของเขา “อั๊ยโย เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับแม่แล้วหรือ”
ลู่เจียวลูบศีรษะเขาด้วยรอยยิ้ม “แม่รู้แล้ว แต่แม่ไม่พูด นี่เป็นความลับของพวกเรา”
ซานเป่าพยักหน้าด้วยความดีใจ ซื่อเป่าเดินมาพูดเสียงค่อย “ท่านแม่ ข้าก็อยากมีความลับกับท่านบ้าง”
ลู่เจียวอดยิ้มไม่ได้ “ได้ เช่นนั้นเจ้ามีความลับอะไรก็บอกแม่สิ”
ซื่อเป่าสับสนสักพัก แววตาก็เป็นประกายทันที พลันขยับไปกระซิบข้างหูลู่เจียว “ท่านแม่ ข้าจะบอกท่านว่า คราวที่แล้วข้าเผลอฉี่รดที่นอนด้วย”
กล่าวจบซื่อเป่าก็เขินอายทันที เขาเสริมขึ้นอีกคำ “ท่านแม่ อย่าบอกใครล่ะ”
ลู่เจียวรู้สึกขบขันในท่าทีของบุตรชาย จึงพยักหน้าทันที “ได้ แม่จะไม่บอกใคร”
คนในหมู่บ้านเห็นแฝดสี่ฉลาดหลักแหลมมาก จึงเอ่ยชมไม่หยุด
ทุกคนพูดคุยเล่นกันพลางตัดเย็บเสื้อผ้าให้แฝดสี่ ส่วนผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างก็พูดคุยเล่นกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นในเรือนตะวันออก
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน นอกรั้วบ้านก็มีคนอีกกลุ่มมาเยือน
พวกเขาคือเซี่ยเหล่าเกิน หร่วนซื่อและคนทั้งสกุลเซี่ย นอกจากเด็กๆ แล้ว ก็แทบจะมาเยือนกันหมด แม้แต่เซี่ยเอ้อร์จู้ยังโดนเรียกมาด้วย
เซี่ยเหล่าเกินวางตัวไม่ถูก หร่วนซื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพาทุกคนเข้าไปด้านใน ข้างกายนางคือสะใภ้คนโตนามว่าเฉินหลิ่ว เฉินหลิ่วเห็นว่าพวกเขาทั้งครอบครัวมาเยือน ทว่าลู่เจียวกลับไม่ออกมาต้อนรับก็ชักสีหน้าไม่พอใจ หันไปกระซิบหร่วนซื่อ
“ท่านแม่ น้องสะใภ้สามไม่ออกมาต้อนรับพวกเราหน่อยหรือ”
นางไม่พูดยังดี พอนางพูดขึ้น หร่วนซื่อก็ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก นางนึกถึงเรื่องที่เถียนซื่อทำให้นางอับอายขายหน้า และนึกถึงเรื่องที่ลู่เจียวโยนนางออกไป
หร่วนซื่อหน้าบึ้งตึง ทั้งตัวแผ่รังสีเย็นชาออกมา
บุตรีคนเล็กสกุลเซี่ยนึกถึงคราวที่แล้วที่สหายร่วมชั้นเรียนของเซี่ยอวิ๋นจิ่นมา แต่นางไม่ได้ของติดไม้ติดมือกลับไปเลย จึงเคียดแค้นใจมาก
นางมองหร่วนซื่อ “ท่านแม่ ตอนนี้พี่สะใภ้สามก็เป็นขนาดนี้แล้ว วันข้างหน้าถ้าพี่สามได้เป็นขุนนางขึ้นมา เกรงว่านางยิ่งไม่สนใจพวกเรา”
สีหน้าหร่วนซื่อยิ่งน่าเกลียด นางกัดฟันกรอด “นางกล้าหรือ”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ หร่วนซื่อกลับรู้ว่านางตัวแสบต้องทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ
ฉะนั้นนางต้องห้ามปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ในบ้านเซี่ยอีกต่อไป บุตรชายของนางมีชีวิตรุ่งโรจน์ นางต้องเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย นางหมูตอนมีสิทธิ์อะไรมาเสพสุขแทนนาง ฝันไปเถอะ!
หร่วนซื่อเริ่มคิดลากลู่เจียวมาข้องเกี่ยว
ทั้งครอบครัวเซี่ยมาเยือนเช่นนี้ ลู่เจียวแค่เงยหน้าก็เห็นผ่านหน้าต่าง แววตานางเรียบเฉย เพียงผุดลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับ
“ท่านพ่อท่านแม่มาแล้วหรือ”
ลู่เจียวมองเซี่ยเหล่าเกินและหร่วนซื่อด้วยแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม