ตอนที่ 66 เรื่องที่แฝดสี่กลัว
ลู่เจียวยกข้าวไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่ห้องนอนในเรือนตะวันออก ก่อนจะเข้าก็กำชับแฝดสี่ “อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนท่านยายและท่านน้าดีๆ ล่ะ”
ต้าเป่าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อืม รู้แล้วน่ะ”
แฝดน้องสามคนก็พยักหน้าแข็งขัน
ตอนนี้นับวันแฝดสี่คนยิ่งน่ารักน่าชัง เถียนซื่อและลู่กุ้ยยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจ จึงคีบอาหารให้พวกเขาไม่หยุด
แฝดสี่เลียนแบบพวกเขา เริ่มคีบอาหารให้เถียนซื่อและลู่กุ้ยบ้าง การกระทำของพวกเขายิ่งทำให้เถียนซื่อและลู่กุ้ยชื่นอกชื่นใจกว่าเดิม
ภายในเรือนตะวันออก ลู่เจียวป้อนอาหารเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลางถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไรไรบ้าง เตียงนี้นอนสบายหรือไม่”
เตียงเก่าที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นนอนคือเตียงขาหักที่มีอยู่เดิมของบ้านหลังนี้ ทุกครั้งที่เคลิ้มหลับแล้วเผลอพลิกตัวไปข้างที่ขาเตียงหัก ตัวก็กลิ้งไถล นอนไม่สบายสักนิด
แม้เตียงหลังใหม่นี้ไม่ถือว่าดีมาก แต่ทั้งเตียงและเสื่อปูทั้งใหม่ทั้งสะอาด ขาเตียงก็ครบทั้งสี่มุม ลู่เจียวเลยคิดว่าต้องนอนสบายกว่าเตียงเดิมแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นดูไม่ดีใจสักนิด เขากำชับด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เจ้าอย่าลืมเอาเงินให้หมอฉีล่ะ พวกเราไม่ขาดแคลนเงินแค่นี้ ไม่ต้องเก็บออมไว้หรอก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดจบก็เลิกคิ้วมองลู่เจียว ทำไมจู่ๆ ฉีเหล่ยถึงส่งของมาให้พวกเขา
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือเขาต้องตาต้องใจลู่เจียวเข้าแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง
เหตุผลแรก ลู่เจียวเป็นเพียงสาวบ้านนอกคนหนึ่ง อีกทั้งนางยังแต่งงานแล้วด้วย คนทั่วไปไม่มีทางต้องตาต้องใจนางอยู่แล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่คิดได้ก็สบายใจ เห็นลู่เจียวไม่ได้ตอบรับ ก็กำชับอีกครั้ง “อย่าลืมเอาเงินให้เขาด้วยล่ะ”
ลู่เจียวจะทำอย่างไรได้ พลันตอบตกลงทันที “ได้ เจอหน้ากันครั้งหน้าค่อยเอาให้เขา”
สุดท้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นจึงไม่ได้มากความอีก เพียงกินอาหารเงียบๆ
เพราะเขามีความหวังว่าจะรักษาขาให้หายได้ ตอนนี้แววตาจึงคลายความหม่นหมอง มีความอ่อนโยนมาแทนที่ แค่มองก็รู้ว่าเขาอารมณ์ดีขึ้น
ลู่เจียวป้อนเขาพลางพูดขึ้นลอยๆ “ในบ้านยังขาดหม้อ ถ้วย ชาม ขันและกะละมัง ข้าจะหาเวลาว่างไปซื้อในเมือง ถ้วยชามตะเกียบไม่พอใช้แล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า “เจ้านั่งเกวียนควายของผู้ใหญ่บ้านไปในเมืองสิ”
“อืม”
ลู่เจียวยังอยากพูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นดีใจดังขึ้นนอกเรือนเสียก่อน
“น้องสาม เจ้าหาหมอมารักษาขาได้แล้วหรือ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเซี่ยเอ้อร์จู้ฉายความหวัง เหมือนว่าขาที่รักษาหายคือขาของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ลู่เจียวเห็นว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกินข้าวเสร็จแล้ว จึงเชิญเซี่ยเอ้อร์จู้เข้ามาด้านใน
ภายในเรือน เซี่ยอวิ๋นจิ่นคุยกับเซี่ยเอ้อร์จู้ด้วยเสียงอ่อนโยน “อืม หมอฉีบอกว่าจะผ่าตัดขาให้ข้า สำหรับเรื่องที่หายหรือไม่หายก็ยังไม่รู้เลย”
เซี่ยเอ้อร์จู้หัวเราะเสียงดัง ท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่ต่างจากเซี่ยฝู่กุ้ย “ไหนๆ เขาก็กล้าผ่าตัดให้เจ้าแล้ว ก็ต้องหายอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่กล้าตกลง”
เซี่ยเอ้อร์จู้กล่าวจบ ก็เดินไปมาในเรือนอย่างตื่นเต้นดีใจ “น้องสาม เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ เจ้าจะได้เรียนหนังสือต่อแล้ว”
ลู่เจียวยกข้าวใส่เนื้อหมูและเนื้อเนื้อทรายชามหนึ่งเข้ามาจากข้างนอก “พี่รอง กินอะไรหน่อยเถอะ”
เซี่ยเอ้อร์จู้เห็นก็พลันปฏิเสธ “ไม่ ไม่ต้องแล้ว ข้ากลับไปกินที่บ้านก็ได้”
เขาเพิ่งกลับจากลงนา ได้ยินคนอื่นพูดถึงเรื่องนี้ จึงรีบมาที่นี่อย่างตื่นเต้นดีใจ
ลู่เจียวยัดชามข้าวเข้าไปในมือของเขา “พี่รองคิดว่าบ้านพวกเรายากจนจนไม่มีข้าวกินแม้แต่ถ้วยเดียวหรือ กินเถอะน่ะ”
“นี่?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวด้วยความแปลกใจ “พวกเจ้าพอกินหรือไม่”
ลู่เจียวยกยิ้ม “พวกเรากินกันหมดแล้ว”
อันที่จริง นี่เป็นข้าวของนาง
นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกของเซี่ยอวิ๋นจิ่นจับจ้องลู่เจียว ในดวงตาทอประกายแสงขึ้นมาทันที
เขารู้ว่านี่ต้องเป็นข้าวของลู่เจียว ทว่าเขาไม่พูด ถ้าพูดออกไป เซี่ยเอ้อร์จู้ต้องไม่มีทางกินแน่นอน
ลู่เจียวหันหลังเดินออกมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเซี่ยเอ้อร์จู้ “พี่รอง รีบกินเถอะ”
“อืม”
เซี่ยเอ้อร์จู้กินอย่างดีอกดีใจ น้องสะใภ้สามวางกับดักสัตว์เป็น ในบ้านเลยได้กินเนื้อทุกวัน อีกอย่าง อาหารฝีมือนางก็เลิศรส แต่ละจานล้วนหอมกรุ่น
เถียนซื่อเห็นลู่เจียวยกชามตัวเองเข้าไปในเรือนนอนก็รีบวางชามข้าวลงแล้วเดินเข้าครัว
ลู่เจียวเดินตามนางเข้าไปด้วย สองแม่ลูกใช้หม้อต้มน้ำแกงเกอต่า[1]
แฝดสี่รีบคว้าชามข้าววิ่งเข้าไปในห้องครัว
ต้าเป่าดันชามข้าวใส่มือลู่เจียว “ให้ท่านกิน”
เอ้อร์เป่า ซานเป่าและซื่อเป่าต่างก็ดันชามใส่มือลู่เจียว “ท่านแม่ ท่านกินของข้าเถอะ”
ลู่เจียวทำเสียงจุ๊ๆ “อย่าให้ลุงรองได้ยินเด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาจะไม่อยากกินข้าวที่แม่ยกไปให้ แม่ต้มน้ำแกงเกอต่ากินแล้ว น้ำแกงก็อร่อยไม่แพ้กัน”
แฝดสี่ได้ยินคำพูดของลู่เจียว ก็ลดเสียงเบา “ท่านแม่ พวกเรากินน้ำแกงเกอต่าด้วยได้ไหม”
“ได้สิ เดี๋ยวกินด้วยกัน”
แฝดสี่พยักหน้าไม่หยุด เถียนซื่อที่อยู่หน้าเตาหันไปมองห้าแม่ลูกด้วยรอยยิ้มสดใส
ก่อนหน้านี้นางกังวลว่าเมื่อลูกเขยสอบติดขุนนาง แล้วจะทิ้งลูกสาว ตอนนี้พอเห็นแฝดสี่ใกล้ชิดกับลูกสาว ลูกเขยก็คงจะเห็นแก่แฝดสี่ ไม่ทิ้งลูกสาวของนางไปง่ายๆ กระมัง
ลู่เจียวตักน้ำแกงเกอต่าเข้าไปในเรือนแล้วแบ่งให้แฝดสี่กินคนละนิด นางไม่กล้าแบ่งให้มากเกินไปนัก ด้วยเกรงกลัวว่าพวกเขาจะแน่นท้อง
แว่วเสียงพูดของเซี่ยเอ้อร์จู้จากเรือนตะวันออกอย่าง “น้องสาม ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันหมดแล้วว่าขาของเจ้ามีโอกาสรักษาหายได้ เกรงว่าท่านพ่อท่านแม่ก็คงรู้เรื่องนี้แล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดด้วยเสียงเย็นชา “รู้แล้วอย่างไร”
เซี่ยเอ้อร์จู้ถามด้วยความสงสัย “ถ้าท่านพ่อท่านแม่ให้เจ้ากลับไปล่ะ”
เขารู้จักนิสัยของพ่อแม่เป็นอย่างดี หากพวกเขารู้ว่าขาของน้องสามรักษาหายได้ ต้องให้น้องสามกลับไปแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปฏิเสธอย่างไรเยื่อไย “ไหนๆ ก็แยกบ้านกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะกลับไปอีก”
เซี่ยเอ้อร์จู้ถอนหายใจ “เจ้าก็รู้นิสัยของท่านแม่ดี ถ้านางให้เจ้ากลับไป เจ้าก็ต้องกลับ มิเช่นนั้นนางคงโวยวายเที่ยวประจานเจ้าไปทั่วหมู่บ้านแน่นอน”
“พี่รองอย่ากังวลใจไปเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เซี่ยเอ้อร์จู้เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมีแผนการ จึงไม่ได้มากความอีก
เถียนซื่อมองลู่เจียวแล้วกระซิบกระซาบ “แม่สามีของเจ้าอาจสั่งให้พวกเจ้ากลับไปอยู่บ้านใหญ่ก็ได้”
ลู่เจียวไม่พูดไม่จา สี่แฝดสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ละคนดูหวาดกลัว พากันมองลู่เจียว
ถ้าพวกเขากลับไป ท่านแม่จะกลายเป็นนางมารร้ายอีกหรือไม่ อีกอย่างถ้าพวกเขากลับไป ของอร่อยคงโดนเหมาโต้วกับไช่โต้วแย่งกินจนหมด
แฝดสี่หยุดกินข้าว ลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปที่เรือนตะวันออก
“ท่านพ่อ พวกเราไม่อยากกลับไป”
“ของอร่อยของพวกเราคงโดนอาสี่ เหมาโต้วและไช่โต้วแย่งกินหมดแน่เลย”
เหมาโต้วและไช่โต้วคือบุตรชายของเซี่ยต้าเฉียง คนหนึ่งสิบขวบ อีกคนแปดขวบ
เซี่ยเหล่าเกินเคยส่งทั้งสองไปเรียนหนังสือในเมือง ไช่โต้วเรียนไม่ดี เลยไม่ได้ส่งเรียนต่ออีก แต่เหมาโต้วฉลาด เรียนหนังสือเก่งมากเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของบุตรชาย สีหน้าเย็นชาเกินบรรยาย ดวงตาดำขลับราวกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
แฝดสี่ไม่หยุดพูดเพราะสีหน้าเช่นนี้ของเขา แต่กลับโวยวายหนักกว่าเดิม
ชีวิตที่ทุกข์ทรมานในวันวานฝังลึกอยู่ในใจของเขา อีกทั้งตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ ลู่เจียวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
แฝดสี่รู้ว่ามารดาต้องไม่ชอบที่นั่น ถึงได้ดุพวกเขาเช่นนั้น ถ้าต้องกลับไปที่นั่น ของกินก็โดนแย่ง มารดาก็กลายเป็นคนจิตใจอำมหิต แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร
แฝดสี่แค่คิดก็ทนไม่ได้จนร้องไห้ออกมา
“น้าสี่กินไข่ กินลูกกวาดและใส่เสื้อผ้าดีๆ ส่วนพวกเราไม่มีกินไม่มีใส่”
“พี่เหมาโต้วและไช่โต้วก็มีของอร่อยกิน พวกเรากลับไม่มีอันจะกิน อีกอย่าง เขายังชอบรังแกพวกเรา”
“ท่านย่าขู่ไม่ให้พวกเราพูด ถ้าพวกเราหลุดพูด จะไม่ให้พวกเรากินข้าว”
“ฮือๆ พวกเราไม่อยากกลับไป พวกเรากลัว”
———————
[1] น้ำแกงเกอต่า คือซุปไข่สไตล์จีน